เอเอฟพี – ผลสำรวจความคิดเห็นล่าสุดเผย ชาวจีน “เกินครึ่ง” เชื่อว่าสงครามระหว่างแดนมังกรกับญี่ปุ่นอาจเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ หลังความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างปักกิ่งและโตเกียวย่ำแย่หนักในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาเนื่องจากปมประวัติศาสตร์และข้อพิพาทดินแดน
จากการสอบถามพลเมืองใน 2 ประเทศคู่ขัดแย้ง พบว่า ชาวจีนร้อยละ 53.4 เชื่อว่าจะเกิดการเผชิญหน้าอย่างรุนแรงกับญี่ปุ่น และ 1 ใน 5 ของคนกลุ่มนี้คาดเดาว่าเหตุการณ์จะเกิดขึ้นภายใน “2-3ปีนี้” ขณะที่มีชาวญี่ปุ่นเพียงร้อยละ 29 ที่มองว่า การปะทะทางทหารมีความเป็นไปได้
ผลสำรวจชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ก่อนถึงวันครบรอบ 2 ปีที่โตเกียวเข้าทุ่มซื้อหมู่เกาะพิพาท “เซ็งกากุ” บางส่วนมาเป็นของรัฐ โดยไม่แคร์ว่าจีนซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะแห่งนี้อยู่เช่นกัน โดยเรียกมันว่า “เตี้ยวอี๋ว์” จะคิดเห็นอย่างไร
ล่าสุด เรือสัญชาติจีน 4 ลำพร้อมเรือคุ้มกันได้ล่องเข้าไปในเขตน่านน้ำรอบๆ หมู่เกาะเซ็งกากุเมื่อช่วงเช้าตรู่วันนี้(10) ซึ่งยิ่งเป็นการซ้ำเติมความตึงเครียดระหว่าง 2 มหาอำนาจเอเชีย
โครงการสำรวจความคิดเห็นนี้เป็นความร่วมมือระหว่างองค์กรไม่แสวงผลกำไร เก็นรอน ในญี่ปุ่น กับหนังสือพิมพ์ไชนาเดลีซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลปักกิ่ง โดยได้ดำเนินการสอบถามความคิดเห็นประชาชนทั้ง 2 ชาติ ระหว่างเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมที่ผ่านมา
ทีมสำรวจในญี่ปุ่นได้สอบถามพลเมืองปลาดิบ 1,000 คนที่มีอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้นไป ส่วนในจีนมีการขอสัมภาษณ์ประชาชนช่วงวัยเดียวกัน 1,539 คนใน 5 เมืองใหญ่ ได้แก่ ปักกิ่ง, เซี่ยงไฮ้, เฉิงตู, เฉิ่นหยาง และซีอาน
การสำรวจรายปีซึ่งทำต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2005 พบว่า ชาวญี่ปุ่นร้อยละ 93.0 ยอมรับว่าพวกเขา “ไม่ชอบ” จีน เพิ่มขึ้นจากสถิติร้อยละ 90.1 ในปีที่แล้ว และถือว่าสูงที่สุดเท่าที่เคยมีการสำรวจมา
ในส่วนของผู้ตอบคำถามชาวจีนที่ “ไม่ชอบญี่ปุ่น” นั้นมีเพียงร้อยละ 86.8 ซึ่งลดลงพอสมควรจากสถิติร้อยละ 92.8 ในปีที่แล้ว
“สาเหตุสำคัญประการแรกที่ทำให้คนญี่ปุ่นมองจีนในแง่ลบก็คือ การที่จีนมักแสดงพฤติกรรมไม่ยี่หระต่อกฎเกณฑ์ของนานาชาติ ร้อยละ 55.1 รองลงมาคือ จีนปกป้องทรัพยากร แหล่งพลังงาน และอาหาร อย่างเห็นแก่ตัว ร้อยละ 52.8” เก็นรอน และไชนาเดลี ระบุในถ้อยแถลงร่วม
ลำดับที่ 3 เป็นเพราะจีน “วิพากษ์วิจารณ์ญี่ปุ่นในเรื่องประวัติศาสตร์” ร้อยละ 52.2 และลำดับ 4 ก็คือ การที่จีน “ไม่หยุดเชผิญหน้ากับญี่ปุ่นเรื่องหมู่เกาะเซ็งกากุ” ร้อยละ 50.4
2 ประเด็นหลักที่ทำให้คนจีนชิงชังแดนอาทิตย์อุทัยมากที่สุดก็คือ เรื่องหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์ ร้อยละ 64.0 และการตีความประวัติศาสตร์ ร้อยละ 59.6
แม้จีนกับญี่ปุ่นจะมีมูลค่าการค้าระหว่างกันอย่างมหาศาล และมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจที่แนบแน่น แต่ในแง่ของความสัมพันธ์ทางการทูตแล้ว ปักกิ่งและโตเกียวกลับมีเรื่องให้ต้องบาดหมางกันอยู่เนืองๆ ตลอดหลายสิบปีมานี้
ความสัมพันธ์ทั้งสองชาติย่ำแย่ลงเป็นประวัติการณ์ตั้งแต่ปลายปี 2012 เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นตัดสินใจซื้อหมู่เกาะเตี้ยวอี๋ว์จากเจ้าของเดิมซึ่งเป็นเอกชน และแม้จะอ้างว่าเป็นเพียงการปรับเปลี่ยนการบริหารจัดการ แต่ปักกิ่งกลับมองว่าโตเกียวจงใจ “ยั่วยุ”
จีนยังกล่าวหาอยู่เสมอว่า ญี่ปุ่นไม่เคยสำนึกผิดต่อการรุกรานและย่ำยีประเทศเพื่อนบ้านในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และประณามนายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ ว่าพยายามเสนอข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ผิดเพี้ยน เพื่อให้ญี่ปุ่นมีข้ออ้างขยายอิทธิพลทางทหารอีกครั้ง
บทบรรณาธิการของไชนาเดลีชี้ว่า ผลสำรวจที่ออกมานับว่า “น่าเป็นห่วง” และเตือนให้ผู้นำทั้งจีนและญี่ปุ่นใส่ใจกับผลลัพธ์เหล่านี้
“ผู้นำทั้งสองชาติจำเป็นต้องพบปะหารือกันเพื่อฟื้นฟูความสัมพันธ์ที่ย่ำแย่ลงทุกที”ไชนาเดลี ระบุ แต่ก็มิวายชี้ว่า “ญี่ปุ่นต้องเป็นฝ่ายเริ่มก่อน”
“อาเบะ ต้องแสดงออกทางการกระทำให้รัฐบาลจีนมั่นใจว่า เขามีเจตนาอย่างแท้จริงที่จะฟื้นฟูความสัมพันธ์”