รอยเตอร์ – ผู้อำนวยการหน่วยข่าวกรองแห่งชาติของออสเตรเลียเผยว่า เขากำลังพิจารณาอย่างจริงจังที่จะการยกระดับเตือนภัยก่อการร้ายในประเทศขึ้นเป็นขั้น “สูง” เนื่องจากมีชาวออสเตรเลียไปสมัครเข้าร่วมรบกับกลุ่มติดอาวุธต่างๆ ตลอดจนวังวนความขัดแย้งในอิรักและซีเรียที่ยังน่าเป็นห่วง
เดวิด เออร์ไวน์ ผู้อำนวยการองค์การข่าวกรองเพื่อความมั่นคงของออสเตรเลีย (ASIO) ซึ่งจะลาตำแหน่งเร็วๆนี้ ระบุว่า ชาวออสเตรเลียจำนวนมากที่กำลังกลับมาจากการสู้รบร่วมกับกลุ่มรัฐอิสลาม (ไอเอส) และกลุ่มหัวรุนแรงต่างๆ ทำให้ออสเตรเลียเสี่ยงภัยด้านความมั้นคงมากขึ้น
ระดับเตือนภัยก่อการร้ายของแดนจิงโจ้อยู่ขั้น “ปานกลาง” เรื่อยมานับตั้งแต่มีการนำระบบ 4 ขั้น ซึ่งไล่ตั้งแต่ ขั้นต่ำ , กลาง ,สูง และรุงแรง เข้ามาใช้ในปี 2003 โดยการเตือนภัยขั้น “สูง” จะถูกใช้ก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่เชื่อว่ามีโอกาสเกิดเหตุโจมตีขึ้นได้
เออร์ไวน์ บอกกับสถานีวิทยุและโทรทัศน์ออสเตรเลีย (ABC) เมื่อช่วงค่ำวานนี้ (9) ว่า “ผมต้องเรียนให้ทราบว่า ระดับเตือนภัยในตอนนี้อยู่ที่ระดับปานกลางค่อนไปทางสูง และผมกำลังตรึกตรองอย่างจริงจังถึงการยกระดับการเตือนภัยให้สูงขึ้นไปอีก”
เมื่อเดือนที่แล้ว ออสเตรเลียเปิดเผยมาตรการต่อต้านก่อการร้ายที่มีเป้าประสงค์เพื่อป้องกันไม่ใช้เยาวชนกลายเป็นพวกลัทธิสุดโต่ง และเดินทางไปสู้รบในพื้นที่ขัดแย้งต่างๆ อย่างอิรักและซีเรีย
เออร์ไวน์ กล่าวว่า หน่วยข่าวกรองทราบว่า ประชาชนอย่างน้อย 20 คน ที่กลับมายังออสเตรเลียหลังจากการต่อสู้ในตะวันออกกลาง กำลังกลายเป็นความเสี่ยงด้านความมั่นคงของชาติ ขณะที่เจ้าหน้าที่แดนจิงโจ้ ระบุว่า มีประชาชนมากถึง 160 คนที่ถ้าไม่ส่วนร่วมในการต่อสู้ก็ให้การสนับสนุนทางตรงกับพวกกลุ่มติดอาวุธ
นอกจากนี้ ออสเตรเลียยังได้มีส่วนร่วมในปฏิบัติการช่วยเหลือบรรเทาทุกข์ของนานาชาติ รวมถึงจัดสรรอุปกรณ์ทางทหารและความช่วยเหลือแก่กองกำลังชาวเคิร์ดที่กำลังสู้รบกับกลุ่มรัฐอิสลามในตอนเหนือของอิรัก
นายกรัฐมนตรี โทนี แอบบ็อตต์ ของออสเตรเลียปฏิเสธที่จะบอกว่า แดนจิงโจ้จะไม่มีส่วนร่วมในการโจมตีทางอากาศหรือการส่งกองทหารประจัญบานเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามกำราบกลุ่มไอเอสที่มีสหรัฐฯเป็นหัวหอก
เมื่อเดือนสิงหาคม อังกฤษได้ยกระดับเตือนภัยก่อการร้ายเป็นระดับสูงสุดขั้นที่ 2 โดยนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ของเมืองผู้ดี ระบุว่า กลุ่มไอเอสเป็นต้อตอของภัยคุกคามด้านความมั่นคงอย่างร้ายแรง
