เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - รัฐบาลมาลาวีเตรียมเดินหน้ารณรงค์ครั้งใหญ่ทั่วประเทศ หวังสร้างค่านิยมใหม่ให้ประชาชน เลิกนำ “ยาต้านไวรัส” สำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ หลังจากที่ผ่านมาพบประชาชนจำนวนมากนำยาดังกล่าวไปใช้เป็นส่วนประกอบในการต้มเหล้า รวมถึงใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับ “ไก่”
รายงานข่าวล่าสุดจากกรุงลิลองเว เมืองหลวงของมาลาวี อดีตอาณานิคมของอังกฤษทางตอนใต้ของทวีปแอฟริกา ระบุว่า รัฐบาลภายใต้การนำของประธานาธิบดี “ปีเตอร์ มูธาริกา” กำลังเผชิญเรื่องน่าปวดหัวครั้งใหญ่ หลังมีการตรวจสอบพบว่าประชาชนจำนวนมากที่มิได้ติดเชื้อเอชไอวีต่างหาซื้อยาต้านไวรัสเอดส์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ ส่งผลให้เกิดปัญหาขาดแคลนยาสำหรับผู้ติดเชื้อเอดส์ตัวจริงเสียงจริง
รายงานซึ่งจัดทำโดยสมาคมผู้บริโภคแห่งมาลาวี (ซีเอเอ็มเอ) ระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมา พบประชาชนชาวมาลาวีจำนวนไม่น้อยนิยมซื้อหายาต้านไวรัสเอดส์เพื่อนำไปเป็นส่วนผสมในการต้มเหล้าพื้นเมืองที่รู้จักกันในชื่อ “คาชาซู” โดยชาวบ้านต่างเชื่อว่า ยาต้านไวรัสเอดส์สามารถช่วยให้เหล้าดังกล่าวมีฤทธิ์ “แรง” ขึ้นกว่าเดิม
ยิ่งไปกว่านั้น ยังพบหลักฐานว่ามีชาวบ้านจำนวนมากหาซื้อยาต้านไวรัสเอดส์ไปใช้ในฟาร์มเลี้ยงไก่และหมู โดยนำยาไปเป็นส่วนผสมในอาหารเลี้ยงสัตว์ ด้วยความเชื่อที่ว่า ยาต้านไวรัสเอดส์สามารถช่วยเพิ่มน้ำหนักให้แก่สัตว์ ในฟาร์มของพวกเขา ซึ่งจะมีผลให้ขายได้ราคาดี และขายได้ไวกว่าเดิม
จอห์น คาปิโต ผู้อำนวยการของซีเอเอ็มเอออกมาระบุว่า สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดปัญหาการนำยาต้านไวรัสเอดส์ไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ เป็นเพราะบรรดาเจ้าหน้าที่ในโรงพยาบาลทั่วประเทศพากันทุจริตต่อหน้าที่ ด้วยการ “ขโมย” ยาต้านไวรัสที่รัฐบาลเตรียมไว้แจกจ่ายให้แก่ผู้ติดเชื้อเอดส์ ออกไปจำหน่ายในตลาดมืด
ล่าสุด รัฐบาลมาลาวีเตรียมประกาศเพิ่มบทลงโทษแก่บรรดาเจ้าหน้าที่สาธารณสุขที่ขโมยยาต้านไวรัสไปจำหน่าย พร้อมเตรียมเพิ่มความเข้มงวดในการเบิกจ่ายยาต้านไวรัสเอดส์ในสถานพยาบาลทั่วประเทศ
ทั้งนี้ ข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า ขณะนี้มาลาวีมีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสเอชไอวี/เอดส์รายใหม่เพิ่มขึ้นถึง “วันละ 250 ราย” ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อล่าสุดมีสัดส่วนคิดเป็นเกือบ 12 เปอร์เซ็นต์จากประชากร 16.4 ล้านคนทั่วประเทศ