เอเจนซีส์ - หลังจากอาบู อาลี (Abu Ali) หัวหน้ากลุ่มกบฏซีเรีย FSA และพวกบุกเข้าไปยังที่ซ่อนตัวของ IS และสามารถยึดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เปื้อนไปด้วยฝุ่นและดินของมูฮัมเม็ด เอส (Muhammed S) นักเคมีชาวตูนิเซีย และนักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์ที่เข้าร่วม IS จากที่ซ่อน พบข้อมูลเอกสาร 19 หน้าจากคอมพิวเตอร์ ทำให้เชื่อว่าขณะนี้ IS กำลังเริ่มพัฒนาอาวุธชีวภาพจากเชื้อกาฬโรค และมีแผนการก่อการร้าย ในขณะที่ในเช้าวันพฤหัสบดี (28) ผู้พิพากาษาลอรา ซัลลิแวน อนุญาตเอแมด คาราคราห์ นักขับชาวอเมริกันวัย 49 ปี ประกันตัวไปได้ด้วยวงเงินประกัน 55,000 ดอลลาร์ หลังตำรวจชิคาโกต้องปิดเมืองไล่ล่าเขาขับรถโบกธงกลุ่มมุสลิมติดอาวุธ IS ทั่วเซาท์เวสต์ ไซด์ ในเช้าวันพุธ (27) ก่อนขู่จะจุดระเบิด FBI และตำรวจท้องที่ขับไล่ล่าเข้าจับกุมหากเข้าตรวจค้นรถ
สื่ออังกฤษรายงานเมื่อวานนี้ (29) ว่า อาบู อาลี (Abu Ali) หัวหน้ากลุ่มกบฏซีเรีย FSA และกลุ่มบุกเข้าไปยังแหล่งกบดานของกลุ่ม IS ในซีเรีย แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าสมาชิกมุสลิมติดอาวุธสายสุหนี่หนีไปได้ก่อน แต่อาลีพบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่เขรอะไปด้วยฝุ่นและดินของของหนึ่งในสมาชิก IS มูฮัมเม็ด เอส (Muhammed S) นักเคมีชาวตูนิเซีย และนักศึกษาภาควิชาฟิสิกส์จากที่ซ่อน
ภายในคอมพิวเตอร์ มีเอกสารอิเล็กทรอนิกส์จำนวน 19 แผ่น แสดงขั้นตอนการเตรียมอาวุธชีวภาพจากเชื้อกาฬโรค และรวมถึงขั้นตอนการทดสอบ โดยเอกสารระบุว่า “อาวุธชีวภาพนั้นทำง่ายและราคาถูก แต่สร้างความหายนะต่อคนได้เป็นจำนวนมาก” แต่อย่างไรก็ตาม เอกสารระบุว่าควรทดสอบอาวุธชีวภาพกับหนูทดลองเสียก่อน ซึ่งอาลีได้ส่งมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนี้กับนักข่าว 2 คนที่ติดตามมาด้วย Foreignpolicy.com รายงาน
อย่างไรก็ตาม เจนนิเฟอร์ โคล (Jennifer Cole) นักวิจัยอาวุโสด้านการจัดการภาวะฉุกเฉินและการปรับตัว (Resilience & Emergency Management) ประจำสถาบันรอแยล ยูไนเต็ด เซอร์วิส (Royal United Services Institute) ไม่ให้ความสำคัญถึงการพบหลักฐานชิ้นนี้ โดยโคลให้สัมภาษณ์กับสื่ออังกฤษว่า “การพบครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราทางเจ้าหน้าที่พบสิ่งนี้ประจำ รวมไปถึงอาวุธชีวภาพนั้นยังไม่สามารถให้ผลลัพธ์ที่แน่นอนเพราะยังควบคุมไม่ได้ 100% ทำให้ทั้งรัฐบาลเผด็จการและกลุ่มก่อการร้ายลังเลที่จะใช้ทางเลือกนี้ รวมถึงยังทำให้เกิดความเสียหายช้า และยังไม่สามารถระบุได้ถึงพิกัดพื้นที่ความเสียหายหากเลือกเป็นอาวุธสังหารอาจจะสามารถทำให้ศัตรูเสียชีวิต แต่ผู้ที่ใช้อาวุธชีวภาพอาจเกิดความเสี่ยงไปด้วย อีกทั้งเชื้อกาฬโรคยังสามารถรักษาได้ด้วยวัคซีนในปัจจุบันนี้ ดังนั้นจึงไม่มีความเสี่ยงสำหรับเชื้อกาฬโรค ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว การระบาดของโรคโปลิโอที่ลุกลามทั่วซีเรียยังน่ากลัวกว่าการคุกคามด้วยอาวุธชีวภาพเชื้อกาฬโรคเสียอีก”
และสถานการณ์ความวิตกของชาติตะวันตกต่อการรุกคืบของ IS มีมากขึ้น นายกรับมนตรีเดวิด คาเมรอน ประกาศยกระดับเตือนภัยก่อการร้ายฉุกเฉิน หลังพบพลเมืองอังกฤษจำนวนมากร่วม 600 คนเดินทางไปร่วมกลุ่ม IS รบในซีเรียและอิรัก และยอมรับว่าเป็นปัญหาระยะยาวที่ต้องใช้เวลาแก้ไข ทั้งเตือนว่า IS จะก่อปัญหาให้กับอังกฤษมากกว่าที่อัลกออิดะห์และ IRA รวมกัน และทั้งมีมาตรการออกมาตอบโต้ก่อการร้าย ที่คาดว่าอาจมีชาวอังกฤษที่เข้าร่วมก่อการร้ายราว 300 คนที่อาจเดินทางกลับเข้ามาก่อความเสียหายในประเทศ โดยมีการสั่งการให้สกอตแลนด์ยาร์ดออกลาดตระเวนย่านชุมชน และดาวน์ทาวน์ในอังกฤษให้ถี่ขึ้น
ในขณะที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ก่อเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักอีกครั้ง หลังหลุดปากยอมรับ ยังไม่มีแผนที่จะจัดการ IS ในซีเรียอย่างเป็นรูปธรรมหลังจากที่ทางกลุ่มติดอาวุธ นำโดย “ญิฮัดจอห์น” IS พาสปอร์ตอังกฤษทำหน้าที่เป็นมือตัดหัวเจมส์ โฟลีย์ ช่างภาพนักข่าวสหรัฐฯวัยราว 40 ปี และล่าสุดเผยแพร่วิดีโอคลิปสังหารเชลยเคิร์ด
นอกจากนี้ ภายในสหรัฐฯ เองต้องประสบปัญหากับ IS โดย RT สื่อรัสเซียรายงานเมื่อวานนี้ (29) ว่า เช้าวันพฤหัสบดี (28) ผู้พิพากษา ลอรา ซัลลิแวน อนุญาต ให้เอแมด คาราคราห์ (Emad Karakrah) นักขับชาวอเมริกันวัย 49 ปี ประกันตัวไปได้ด้วยวงเงิน 55,000 ดอลลาร์ หลังตำรวจชิคาโกต้องปิดเมืองไล่ล่าเขาที่ขับรถโบกธงกลุ่มมุสลิมติดอาวุธ IS ทั่วเซาท์เวสต์ ไซด์ (Southwest Side) ในเช้าวันพุธ ก่อนขู่จะจุดระเบิด FBI และตำรวจท้องที่ขับไล่ล่าเข้าจับกุมหากเข้าตรวจค้นรถ
ทั้งนี้ คาราคราห์ ชาวชิคาโกเผชิญหน้าหลายข้อหาหนักทั้งขัดขืนเจ้าหน้าที่ หลบหนีซึ่งหน้า รวมถึงไม่ยอมแสดงใบขับขี่ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ
ในเวลาราว 09.18 น.ของเช้าวันพุธ (28) พลเมืองดีพบเห็นผู้ต้องสงสัยขับรถปอนเตียคสีเงินมุ่งหน้าไปทางใต้ของเซาท์เคดซี (South Kedzie) พร้อมมีธงสัญลักษณ์กลุ่ม IS โบกปลิวไสวนอกหน้าต่างตัวรถ และเมื่อตำรวจชิคาโกพยายามให้รถสีเงินคันนี้จอด คาราคราห์กลับขับรถหลบหนี และเจ้าหน้าที่ตำรวจจุดอื่นพยายามสกัดจับหลังจากคาราคราชได้ขับฝ่าไฟแดงที่จุดแยกจราจรหลายแห่ง ในท้ายที่สุดหลังจากการไล่ล่าได้จบสิ้น คาราคราห์ขู่จะจุดระเบิดที่ซุกซ่อนภายในรถหากมีการตรวจค้น ทั้งเจ้าหน้าที่ FBI ตำรวจชิคาโก เจ้าหน้าที่กระทรวงมาตุภูมิและความปลอดภัยแห่งสหรัฐฯ รวมถึงหน่วยเก็บกู้ระเบิดได้ร่วมตรวจค้นรถผู้ต้องหาแต่ไม่พบระเบิดตามที่อ้างไว้