เอเอฟพี – เกาหลีเหนือร่วมสหบาทากับเหล่าอริของอเมริกาที่ยกเหตุจลาจลในรัฐมิสซูรีมาใช้จวกแดนอินทรีย์ โดยระบุว่า สหรัฐฯคือ “สุสานสิทธิมนุษยชน” และควรสนใจเรื่องของตนเองมากกว่าจะมาวิจารณ์คนอื่น
เหตุการณ์ที่ตำรวจสหรัฐฯยิงวัยรุ่นผิวสีทั้งๆ ที่ไม่มีอาวุธ และตามมาด้วยการใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วงในในเมืองเฟอร์กูสันแถบมิสเวสต์ เป็นโอกาสทองให้ จีน , อิหร่าน และรัสเซีย ได้ออกมาชี้ถึงข้อบกพร่องของอเมริกา
เกาหลีเหนือ ซึ่งถูกวอชิงตันและชาติอื่นๆ รุมประณามเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่เป็นประจำ ชี้ว่า สหรัฐฯไม่มีสิทธิที่จะมาตัดสินคนอื่น
“สหรัฐฯ คือประเทศที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างไร้สำนึก คือดินแดนที่ประชาชนอยู่ภายใต้การแบ่งแยกและความอัปยศเพียงเพราะเชื้อชาติของพวกเขาเป็นเหจุ ซ้ำยังต้องหวั่นกลัวอยู่ตลอดเวลาว่าพวกเขาอาจถูกยิงไม่เวลาใดก็เวลาหนึ่ง “ สำนักข่าว KCNA ของรัฐบาลรายงาน โดยอ้างจากคำพูดของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศเกาหลีเหนือ
“สหรัฐฯไม่ควรแก้ปัญหานี้ด้วยการปราบปรามผู้ประท้วง แต่ควรเผยให้เห็นภาพที่แท้จริงของสังคมอเมริกา ซึ่งไม่ต่างอะไรกับสุสานสิทธิมนุษยชน และควรมีความเข้าใจที่ถูกต้องว่าอะไรคือสิทธิมนุษยชนที่แท้จริง และควรรับประกันสิทธิเหล่านั้นอย่างไร” โฆษก แถลง
ประเทศที่ยากแค้นแต่กลับครอบครองอาวุธนิวเคลียร์แห่งนี้ถูกปกครองมาเป็นเวลากว่า 6 ทศวรรษโดยตระกูลคิม ซึ่งไม่เคยเปิดโอกาสสำหรับผู้ที่มีความเห็นต่างทางการเมือง
ทั้งนี้ คาดการณ์กันว่าเกาหลีเหนือน่าจะมีนักโทษทางการเมืองมากถึง 120,000 คนในค่ายกักกัน (gulag) ขณะที่ผู้ที่พยายามจะหลบหนีออกนอกประเทศมักจะถูกส่งเข้าเรือนจำ หรือไม่ก็ประหารชีวิต
“แทนที่จะมาก้าวก่ายกิจการภายในของประเทศอื่นๆ ...สหรัฐฯควรสนใจเรื่องของตนเองจะดีกว่า” โฆษกโสมแดง แถลง
เหตุการณ์ที่ ไมเคิล บราวน์ วัย 18 ปีถูกตำรวจผิวขาวยิงเสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 สิงหาคม และการกำกับดูแลผู้ประท้วงอย่างเข้มงวด ได้ทำให้ชาติอื่นๆ ที่พากันครหาหาว่า สหรัฐฯ “มือถือสากปากถือศีล” และละเลยปัญหาการแบ่งแยกทางเชื้อชาติในประเทศตัวเอง
ด้านสื่อของทางการจีนรายงานว่า “แม้แต่ในประเทศแห่งหนึ่งที่พยายามเล่นบทผู้พิทักษ์และผู้พิพากษาสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมาเป็นเวลาหลายปี ก็ยังมีปัญหาที่ยังต้องแก้ไขอีกมากมาย”
แม้กระทั่งอียิปต์ ที่มีประชาชนอย่างน้อย 1,400 คนถูกสังหารในการปะทะกับกองกำลังรักษาความมั่นคงตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ปี 2013 ก็ให้ความเห็นถึงเรื่องนี้ด้วย โดยชี้ว่า ตำรวจสหรัฐฯใช้กำลัง “มากเกินจำเป็น” ในการจลาจลที่ปะทุขึ้นในเมืองเฟอร์กูสัน