เอเอฟพี/รอยเตอร์ - องค์การอนามัยโลกในวันศุกร์(8) ประกาศให้ไวรัสมรณะอีโบลา ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักในหลายพื้นที่ของแอฟริกาตะวันตกเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ พร้อมร้องขอทั่วโลกให้ความช่วยเหลือชาติต่างๆที่ได้รับผลกระทบและแนะนำนานาชาติจับตาตรวจสอบอย่างเข้มข้นเพื่อป้องกันการลุกลามข้ามพรมแดน
"การแพร่ระบาดรวดเร็วกว่าที่เราสามารถควบคุมได้" นางมาร์กาเร็ต ชาน ผู้อำนวยการองค์การอนามัยโลก บอกกับผู้สื่อข่าวผ่านโทรศัพท์จากศูนย์บัญชาการใหญ่ขององค์การอนามัยโลกในเจนีวา
การตัดสินใจดังกล่าวมีขึ้นตามหลังการประชุมที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนักของคณะกรรมการฉุกเฉินขององค์กรสาธารณสุขของสหประชาชาติแห่งนี้ ซึ่งเรียกร้องให้มีการตรวจตราทุกๆคนที่บินออกจากประเทศที่ได้รับผลกระทบ ด้วยตอนนี้ยอดผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดของอีโลบา ขยับเข้าใกล้ 1,000 รายทุกขณะ
อย่างไรก็ตามองค์การอนามัยโลกไม่ได้ร้องขอด้านจำกัดการเดินทางทั่วโลก ด้วยแค่เรียกร้องให้ทุกสายการบินใช้มาตรการป้องกันไว้ก่อนอย่างเข้มข้นและยังอนุญาตให้บินไปยังเหล่าประเทศแอฟริกาตะวันตกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดตามปกติ กระนั้นองค์กรแห่งนี้ได้แนะนำชาติต่างๆทั่วโลกเตรียมการสำหรับตรวจสอบ สืบสวนและจัดการทันทีหากพบกรณีผู้ติดเชื้อปรากฏขึ้น
การประกาศขององค์การอนามัยโลกครั้งนี้ ซึ่งเกิดขึ้นตามหลังเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าหน่วยงานของสหประชาชาติแห่งนี้นิ่งเฉยในการต่อสู้กับการแพร่ระบาดของอีโบลา มีเป้าหมายเพิ่มระดับความระแวดระวังต่อไวรัสมรณะที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมากในกินี ไลบีเรียและเซียร์ราลีโอน
องค์กรแห่งนี้บอกว่าทุกประเทศที่พบการติดต่อของอีโบลาควรประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินตามหลังการแพร่ระบาดที่ดูเหมือนจะเลวร้ายอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่ควรถึงขั้นห้ามเดินทางระหว่างประเทศหรือค้าขายใดๆ "การประกาศนี้จะช่วยกระตุ้นความใส่ใจของผู้นำทุกประเทศในระดับสูง มันไม่สามารถดำเนินการได้ในระดับรัฐมนตรีสาธารณสุขเพียงลำพัง" ชานกล่าว
ทั้งนี้องค์การอนามัยโลกถูกกล่าวหาว่าตอบสนองต่อการแพร่ระบาดของอีโบลาไม่เร็วพอ และมีการกล่าวว่าสถานการณ์อีโบลาระบาดนั้น อยู่ในขั้นที่ไม่สามารถควบคุมได้แล้ว แต่ทางด้านนายเคจิ ฟุกุดะ ผู้อำนวยการความปลอดภัยด้านสาธารณสุขขององค์การสหประชาชาติเชื่อว่ายังคงสามารถยุติการระบาดของอีโบลาได้อยู่ ด้วยเชื้อโรคนี้ไม่ใช่เชื้อไวรัสปริศนา เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถควบคุมการระบาดได้ เนื่องจากไม่ได้ระบาดผ่านทางอากาศหายใจนั่นเอง
ในส่วนขององค์การแพทย์ไร้พรมแดน มองว่าการประกาศให้อีโบลา เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ แสดงให้เห็นถึงความจริงจังในความพยายามจัดการกับการแพร่ระบาดของไวรัสมรณะชนิดนี้ขององค์การอนามัยโลก แต่ก็แนะนำว่าถ้อยแถลงดังกล่าวควรแปรเปลี่ยนเข้าสู่การกระทำด้วย
อีโบลาไม่มียารักษาหรือวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ ทางที่ดีที่สุดก็คือพุ่งเป้าไปที่การบรรเทาอาการต่างๆอาทิมีไข้ อาเจียนและท้องร่วง โดยนายเคจิ ฟุกุดะ บอกว่าการแพร่ระบาดสามารถหยุดยั้งได้ด้วยการใช้มาตรการต่างๆที่เหมาะสมในการจัดการกับประชาชนผู้ติดเชื้อ แต่สิ่งสำคัญก็คือหากพบว่าใครมีอาการต้องสงสัยติดเชื้ออีโบลาควรถูกแยกออกมาในทันทีและรักษาในสถานกักโรคเป็นเวลา 30 วัน
ข้อมูลล่าสุดขององค์การอนามัยโลกที่เผยแพร่ในวันศุกร์(8) พบว่าสถานการณ์ดูจะเลวร้ายลงเรื่อยๆ ด้วยพบผู้ติดเชื้อ 1,779 ราย ในนั้นเสียชีวิตแล้ว 961 คน ถือเป็นการแพร่ระบาดครั้งรุนแรงที่สุดในรอบ 40 ปี นับตั้งแต่มันถูกพบในมนุษย์เป็นครั้งแรก
แม้ว่าผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่จะอยู่ในพื้นที่ห่างไกลตามแนวชายแดนกินี เซียร์ราลีโอนและไลบีเรีย แต่สัญญาณเตือนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดที่ลุกลามของมันดังขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว เมื่อพลเรือนสหรัฐฯรายหนึ่งไปเสียชีวิตที่ไนจีเรีย หลังเดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารกลับจากไลบีเรียไม่นาน
หลังจากมีการใช้ยาทดลองรักษาอีโบลาให้แก่ผู้ติดเชื้อชาวอเมริกัน 2 คนจนทำให้อาการดีขึ้น เลยมีเสียงเรียกร้องให้องค์การอนามัยโลกมอบยาดังกล่าวแก่ชาวแอฟริกา ด้วยเหตุนี้ทางอนามัยโลกจึงเตรียมจัดการประชุมพิเศษของคณะกรรมการด้านจริยธรรมทางการแพทย์ในสัปดาห์หน้า เพื่อพิจารณาทางเลือกนี้
