เอเอฟพี - มีพลเรือนอย่างน้อย 2 รายเสียชีวิตจากการปะทะอย่างรุนแรงบริเวณรอบนอกของโดเน็ตสก์ ซึ่งอยู่ทางตะวันออกของยูเครนและเป็นฐานที่มั่นหลักของฝ่ายกบฏเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (5 ส.ค.) ขณะที่สหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่าอาจเกิด "ความวินาศสันตะโรและการอพยพครั้งมโหฬาร" หากการสู้รบรุนแรงขึ้น
เจ้าหน้าที่ปกครองท้องถิ่นระบุว่า มีการระเบิดอย่างรุนแรงหลายครั้งในเปตรอฟสกี ย่านชานเมืองฝั่งตะวันตกของโดเน็ตสก์ เมืองที่มีประชากรนับล้านแห่งนี้ จากการที่กองทัพรัฐบาลยูเครนพยายามรุกคืบเข้ามากำจัดกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ
ก่อนหน้านี้ มีรถยนต์หลายสิบคันที่อัดแน่นไปด้วยชาวบ้านที่กำลังตื่นตระหนก พากันขับหนีออกจากเมืองศูนย์กลางอุตสาหกรรมแห่งนี้ ผ่านเส้นทางที่เรียกกันว่า "ช่องทางเพื่อมนุษยธรรม" ซึ่งยังคงเต็มไปด้วยอันตราย เนื่องจากต้องวิ่งเข้าใกล้จุดที่มีการปะทะกัน
เมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) กองทัพยูเครนได้เรียกร้องให้บรรดากลุ่มก่อความไม่สงบในโดเน็ตสก์ ลูกันสก์ และกอร์ลิฟกาที่เป็นเมืองแนวหน้าอีกแห่งของการสู้รบครั้งนี้ เปิดช่องทางเส้นนี้เป็นเวลาหลายชั่วโมงของแต่ละวัน เพื่อให้พลเรือนได้หลบหนีออกมา
แต่ถึงแม้ว่าบรรดาชาวบ้านที่กำลังหลบหนีจะได้รับสิทธิให้ออกมาจากฐานที่มั่นของฝ่ายกบฏยูเครนที่ฝักใฝ่รัสเซียได้ในระหว่างช่วงเวลา 10.00 - 14.00 น. ทว่าก็ยังคงมีการระเบิดเกิดขึ้นตลอดเส้นทางเส้นนี้ในตำบลมาร์ยินกา
"เราพยายามจะหนีออกมา" หญิงชราผู้มีน้ำตานองหน้ากล่าว เธอหลบหนีออกมาพร้อมกับอีกหลายคนด้วยรถแท็กซี่ เมื่อถูกถามว่ากำลังจะไปไหน เธอก็ตอบว่า "ที่ไหนก็ได้ที่พอจะไปได้"
ณ บริเวณจุดตรวจแห่งหนึ่งของกองทัพยูเครน ที่มีรถถัง 5 คันจอดอยู่ในทุ่งดอกทานตะวัน บรรดารถยนต์ของชาวบ้านต่างพากันเข้าคิวเพื่อรอผ่านทาง มีคันหนึ่งที่มีรถเข็นของเด็กอยู่บนหลังคารถ ขณะที่อีกหลายคันมีคนแก่นั่งอยู่ข้างใน
ส่วนที่จุดตรวจอีกแห่งซึ่งเป็นของฝ่ายกบฏ ผู้บัญชาการของฝ่ายกบฏรายหนึ่งได้บอกกับเอเอฟพีว่า พวกเขาไม่มีการตรวจสอบ ทุกคนสามารถผ่านออกไปได้อย่างเสรี มีคนออกไปทุกวัน
รถยนต์บางคันมีการผูกผ้าสีขาวเอาไว้ เพื่อบอกให้รู้ว่าพวกเขาเป็นพลเรือน ขณะที่ควันจากการสู้รบยังคงสามารถมองเห็นได้ทั้งสองฝั่งของถนนเส้นนี้
กองทัพยูเครนประกาศเมื่อวันจันทร์ (4 ส.ค.) ว่าพวกเขาจะกระชับวงล้อมรอบโดเน็ตสก์ หลังจากที่เป็นฝ่ายเหนือกว่ามากขึ้นเรื่อยๆ ในช่วงเดือนที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ทางฝ่ายกบฏก็ออกมาประกาศเช่นกันว่า จะขอปักหลักสู้ในหลายเมืองที่อยู่ภายใต้การควบคุมของพวกเขา ซึ่งทางกองทัพรัฐบาลยังคงถูกระดมยิงอย่างหนักจากฝ่ายกบฏแบ่งแยกดินแดน
อันเดรย์ ลีเซนโก โฆษกด้านความมั่นคงยูเครน ระบุเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่ากองทัพรัฐบาลยูเครนได้ถอนกำลังออกจากตำบลยาสีนูวาตา ซึ่งอยู่ทางเหนือของโดเน็ตสก์ หลังจากยึดมาได้เมื่อไม่กี่วันก่อน เพื่อหลีกเลี่ยงการทำให้ประชาชนต้องตกอยู่ในความเสี่ยง โดยในช่วง 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา มีทหาร 3 รายเสียชีวิต และอีก 46 รายได้รับบาดเจ็บ
ทั้งนี้ มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,150 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพลเรือน จากการสู้รบครั้งนี้ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ช่วงกลางเดือนเมษายน
ด้านหน่วยงานผู้ลี้ภัยของสหประชาชาติได้ออกมาเตือนว่า หากการสู้รบในแถบตะวันออกของยูเครนยังคงดำเนินต่อไป อาจนำไปสู่ "ความวินาศสันตะโรและการอพยพครั้งมโหฬาร"
ทั้งนี้ หน่วยงานผู้ลี้ภัยของยูเอ็น ประมาณการว่า มีประชากรที่ทิ้งถิ่นฐานบ้านเกิดเพราะการสู้รบทางตะวันออกของยูเครนครั้งนี้ไปแล้วกว่า 285,000 ราย ผู้คนจำนวนมากได้ย้ายออกไปอยู่ในเขตอื่นๆ ของยูเครน แต่ก็ยังมีมากถึง 168,000 รายที่ไปแสวงหาสถานที่ปลอดภัยในรัสเซีย
ในเมืองลูกันสก์ ซึ่งเป็นฐานที่มั่นสำคัญแห่งสองของฝ่ายกบฏ ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในท้องถิ่นได้ออกมาระบุเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ว่ามีประชาชนเกือบครึ่งพากันหลบหนีออกจากเมือง ท่ามกลางการเตือนภัยพิบัติด้านมนุษยธรรม
พวกเขาบอกว่า เมืองที่มีประชากร 420,000 รายแห่งนี้ ไม่มีไฟฟ้า น้ำ อินเตอร์เน็ตและโทรศัพท์ให้ใช้มาเป็นเวลา 3 วันแล้ว
ขณะเดียวกัน "ฮิวแมน ไรต์ วอช" ก็ออกมาระบุว่า กองกำลังฝ่ายกบฏได้ขัดขวางการทำงานของหน่วยแพทย์ในเขตอุตสาหกรรมทางตะวันออกแห่งนี้ รวมถึงมีการปล้นรถพยาบาลเพื่อนำไปใช้ขนส่งนักรบ ทั้งยังขโมยอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมสงคราม
"การกระทำที่น่ารังเกียจ โดยไม่สนใจผู้คนที่ป่วยหรือได้รับบาดเจ็บจนอาจถึงแก่ความตายได้นั้น จำเป็นจะต้องหยุดลงทันที" ยูเลีย กอร์บูโนวา นักวิจัยยุโรปและเอเชียกลางของฮิวแมน ไรต์ วอช กล่าว
เขาระบุอีกว่า มีจรวดหรืออาจจะเป็นกระสุนปืนครก ที่ยิงออกมาจากฝ่ายรัฐบาลยูเครน ไปโดนโรงพยาบาลหลายแห่งในเขตพื้นที่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายกบฏ ทำให้เจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เสียชีวิต 2 ราย
ความตึงเครียดระหว่างรัสเซียและชาติตะวันตกได้เพิ่มมากขึ้นจนถึงจุดที่เรียกได้ว่าเลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่สมัยสงครามเย็น จากเหตุสู้รบในยูเครนครั้งนี้ โดยทางสหรัฐฯ และยุโรปได้พากันใช้มาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย จากข้อกล่าวหาที่ระบุว่ารัสเซียให้การสนับสนุนฝ่ายกบฏ
วลาดิมีร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียได้สั่งการเมื่อวันอังคาร (5 ส.ค.) ให้คณะรัฐบาลของเขาออกมาตรการตอบโต้การคว่ำบาตรของฝ่ายตะวันตก ซึ่งได้ทำให้สายการบินต้นทุนต่ำแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ "แอโรฟลอต" สายการบินแห่งชาติของรัสเซีย ต้องหยุดให้บริการทุกเที่ยวบินไปแล้ว
อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของรัสเซีย ที่ทางกระทรวงกลาโหมของยูเครนออกมาระบุว่าเป็นการยั่วยุก็คือ การซ้อมรบครั้งใหญ่ของกองทัพรัสเซียที่บริเวณภาคใต้ของดินแดนหมีขาว ซึ่งจะสิ้นสุดลงในวันศุกร์นี้ (8 ส.ค.)
กองทัพยูเครนระบุว่า มีทหารรัสเซียประมาณ 45,000 คนมาปรากฏตัวแถวชายแดนยูเครน ซึ่งความเคลื่อนไหวครั้งนี้ทางสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นเรื่องที่น่าตกใจมาก
เจน ซากี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ บอกกับนักข่าวว่า มีกองกำลังของรัสเซียเข้ามาสมทบอย่างต่อเนื่องบริเวณชายแดนของยูเครน ทั้งยังมีการปรับขบวนทัพบริเวณพื้นที่ดังกล่าวอยู่เรื่อยๆ โดยทางสหรัฐฯ ยังไม่ทราบจำนวนที่แน่ชัด เพราะยากต่อการคำนวณ แต่การที่ทหารรัสเซียเข้ามาสมทบอย่างต่อเนื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องที่น่ากังวลและจะมีการจับตามองอย่างใกล้ชิด
ส่วนทางด้านผู้เชี่ยวชาญจำนวน 110 คน จากเนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลียและมาเลเซีย ที่เข้ามาตรวจสอบซากและบรรดาข้าวของเครื่องใช้ของเหยื่อเที่ยวบินมรณะ MH17 ก็ยังคงทำงานกันอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เที่ยวบินนี้ถูกยิงตกลงมาจากฟ้าเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคมที่ผ่านมา ทำให้ทุกคนบนเครื่องบินลำนี้เสียชีวิตทั้งหมด 298 คน
สหรัฐอเมริกาเชื่อว่า เครื่องบินลำดังกล่าวถูกยิงตกโดยขีปนาวุธจากพื้นสู่อากาศของฝ่ายกบฏ ที่ได้รับการสนับสนุนโดยรัสเซีย แต่ทางฝ่ายกบฏและรัสเซียโทษว่าเป็นฝีมือของกองทัพยูเครน