ระวัง! สาธารณสุขมะกันเตือน “ไวรัสมรณะอีโบลา” อาจระบาดลามทั่วเหมือน “ไฟป่า”

เอเอฟพี - หน่วยงานสาธารณสุขสหรัฐฯเตือน ไวรัสมรณะ “อีโบลา” อาจแพร่ระบาดลุกลามเหมือน “ไฟป่า” พร้อมแนะนำให้ผู้ที่จำเป็นต้องเดินทางไปยังภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกในช่วงนี้เรียนรู้ที่จะป้องกันตนเองจากเชื้อร้าย

ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ (Centers for Disease Control and Prevention - CDC) แถลงวันนี้ (29) ว่า การแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลาครั้งรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ทำให้มีผู้ติดเชื้อแล้ว 1,201 รายในกินี ไลบีเรีย และเซียร์ราลีโอน ในจำนวนนี้เสียชีวิตแล้ว 672 คน

ล่าสุด พบพลเมืองอเมริกันติดเชื้ออีโบลา 2 ราย เป็นแพทย์และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขซึ่งทำงานอยู่ในกรุงมันโรเวีย เมืองหลวงของไลบีเรีย โดยผู้ป่วยจะมีอาการไข้สูง ปวดข้อ ท้องร่วง อาเจียน และเลือดออกอย่างรุนแรง

“โอกาสที่เชื้อไวรัสจะแพร่กระจายออกไปสู่ภูมิภาคอื่นๆ ยังมีน้อยมาก” สเตฟาน มอนโร รองผู้อำนวยการศูนย์โรคติดต่อชนิดใหม่ที่แพร่จากสัตว์สู่คน (National Center for Emerging and Zoonotic Infectious Diseases) ซึ่งเป็นหน่วยงานในสังกัดซีดีซี ให้สัมภาษณ์

อย่างไรก็ตาม เขายอมรับว่า “สถานการณ์เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว” และซีดีซีจำเป็นต้องเตรียมพร้อมกรณีมีผู้ป่วยนำเชื้อมาแพร่ในสหรัฐฯ “ซึ่งเป็นไปได้น้อยมาก”

ซีดีซีได้ออกประกาศเตือน “ระดับ 2” ซึ่งเป็นการเตือนให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งจากร่างกายผู้ป่วยในประเทศที่มีการแพร่ระบาดของเชื้ออีโบลา แต่ยังไม่ถึง “ระดับ 3” ซึ่งจะเป็นการเตือนให้เลี่ยงเดินทาง

ซีดีซียังส่งหนังสือเตือนไปยังผู้ประกอบวิชาชีพสาธารณสุขทั่วสหรัฐฯ เพื่อเน้นย้ำให้มีการตรวจสอบว่าผู้ป่วยได้เดินทางไปยังภูมิภาคแอฟริกาตะวันตกหรือไม่ในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ตลอดจนศึกษาอาการของผู้ติดเชื้อไวรัสอีโบลา และแยกผู้ป่วยต้องสงสัยทันที

มอนโรชี้ว่า “สิ่งที่เราเป็นห่วงก็คือ ไวรัสอาจจะแพร่ระบาดต่อๆ กันเหมือนไฟป่าที่เกิดจากต้นไม้เพียงต้นเดียว”

“ปรากฏการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นแล้วในไลบีเรีย” เขากล่าว พร้อมชี้ว่าไลบีเรียเคยปราศจากผู้ติดเชื้อใหม่อยู่นานถึง 21 วัน แต่แล้วเชื้ออีโบลาก็กลับมาอีก

“การระบาดของอีโบลาเกิดขึ้นอีกระลอกเนื่องจากมีผู้ป่วยนำเชื้อข้ามแดนเข้าไป ดังนั้นเราคงไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดได้ จนกว่าจะค้นพบและสกัดกั้นต้นตอของการแพร่เชื้อทุกทาง”

ซีดีซีชี้ว่า อัตราการตายของผู้ติดเชื้ออีโบลาอาจสูงถึง 90% แต่เวลานี้ตัวเลขยังอยู่ที่ราวๆ 60% เท่านั้น ซึ่งหมายความว่ามาตรการป้องกันต่างๆ พอจะได้ผลอยู่บ้าง