xs
xsm
sm
md
lg

ที่ประชุมเอดส์นานาชาติเผยผลวิจัย "ขลิบเจ้าโลก" ช่วยลดความเสี่ยงติดเอชไอวี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี - การรณรงค์ส่งเสริมให้มีการขลิบหนังหุ้มปลายองคชาตในพื้นที่แอฟริกาที่อยู่ทางใต้ของทะเลทรายซาฮารา เพื่อช่วยป้องกันการติดไวรัสเอดส์ได้รับการหนุนหลังด้วยผลวิจัยชิ้นใหม่ที่ถูกเปิดเผยในวันนี้ (21 ก.ค.) โดยพบว่าชายที่ผ่านการขลิบมีแนวโน้มที่จะนิยมการมีเซ็กส์แบบปลอดภัย

จากการทดลองครั้งใหญ่ 3 ครั้งที่ผ่านมา ได้แสดงให้เห็นว่า สำหรับชายที่ชอบเพศตรงข้าม การขลิบปลายองคชาตช่วยลดความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวีสูงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งการค้นพบนี้ทำให้องค์การอนามัยโลกออกมารับรองโดยทันที ให้วิธีนี้เป็นหนึ่งในทางเลือกสำหรับใช้ควบคู่ไปกับการใช้ถุงยางอนามัย

แต่มีผู้เชี่ยวชาญบางรายเตือนว่า ชายผู้รับการขลิบเหล่านั้นเชื่อว่าตัวเองได้รับการปกป้องแล้ว จึงมีแนวโน้มที่จะมีเซ็กส์แบบสำส่อนมากยิ่งขึ้นหลังการทดลอง และอาจจะใช้ถุงยางน้อยลง

ผลการศึกษาใหม่นี้ ซึ่งออกมาในช่วงประจวบเหมาะกับการประชุมโรคเอดส์นานาชาติครั้งที่ 20 ในนครเมลเบิร์น มุ่งเน้นไปที่ประเด็นถกเถียงนี้ แต่ไม่พบหลักฐานสนับสนุนว่าคำเตือนดังกล่าวเป็นความจริง

ทั้งนี้ บรรดานักวิจัยจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์วิทยาเขตชิคาโก ได้สำรวจชายวัย 18-35 ในเขตเอ็นยันซา ประเทศเคนยา มากกว่า 3,000 คน ที่ได้รับฟังการอธิบายเกี่ยวกับการขลิบและคำแนะนำในการมีเซ็กส์แบบปลอดภัย ตลอดจนรับการตรวจหาเชื้อเอชไอวี

ตอนเริ่มต้นการศึกษานี้ ครึ่งหนึ่งของผู้ได้รับการสำรวจตัดสินใจที่จะขลิบ ส่วนที่เหลือเลือกที่ปล่อยไว้เหมือนเดิม พวกเขาจะถูกถามเกี่ยวกับชีวิตทางเพศ โดยจะมีการติดตามสอบถามในทุกๆ 6 เดือน ตลอดช่วงระยะเวลา 2 ปี

นักวิจัยพบว่า ตลอดช่วงเวลาของการสำรวจ กิจกรรมทางเพศของทั้งสองกลุ่มต่างเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุระหว่าง 18-24 แต่การมีเซ็กส์แบบเสี่ยง อย่างเช่นการมีคู่นอนหลายคนหรือการใช้เงินซื้อบริการทางเพศกลับลดลง ขณะที่การใช้ถุงยางอนามัยเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกัน ชายในกลุ่มที่ขลิบ เชื่อว่าพวกเขามีความเสี่ยงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวีน้อยลง โดยก่อนขลิบมี 30 เปอร์เซ็นต์ที่คิดว่าพวกเขามีความเสี่ยงสูง แต่พอหลังการขลิบเหลือแค่ 14 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ยังคิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวี

ส่วนกลุ่มที่ไม่ได้ขลิบ ในช่วงต้นของการสำรวจ มีประมาณ 24 เปอร์เซ็นต์ที่เชื่อตัวเองมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อเอชไอวี และเมื่อการสำรวจสิ้นสุดก็ยังมีประมาณ 21 เปอร์เซ็นต์ที่คิดว่าตัวเองมีความเสี่ยงสูง

อย่างไรก็ตาม การรับรู้ที่ต่างกันไม่ได้หมายความว่าจะทำให้พฤติกรรมต่างกัน

เนลลี เวสเตอร์แคมป์ หัวหน้านักวิจัยของมหาวิทยาลัยดังกล่าว ได้ระบุไว้ในเอกสารแถลงข่าวว่า หลายประเทศที่ได้ระงับการดำเนินโครงการขลิบหนังหุ้มปลายองคชาต เนื่องจากขาดหลักฐานพิสูจน์ว่ามันจะเป็นการได้ไม่คุ้มเสียหรือไม่ ก็ควรที่จะเลิกกังวลได้แล้ว

ด้านการประชุมโรคเอดส์นานาชาติที่เมลเบิร์น ก็มีการเสนอผลการศึกษาที่ระบุว่า การจ่ายเงินชดเชยในรูปแบบของคูปองอาหารที่มีมูลค่าประมาณ 9 - 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นการจูงใจที่ได้ผลสำหรับโครงการรณรงค์ให้ชายเข้ารับการขลิบ

องค์การอนามัยโลกและโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ เวลานี้ได้แนะนำให้มีการขลิบด้วยความสมัครใจใน 14 ประเทศทางตะวันออกและทางใต้ของทวีปแอฟริกา ที่มีการระบาดของโรคเอดส์อย่างแพร่หลาย

อย่างไรก็ตาม ประเทศเหล่านี้ส่วนใหญ่ยังคงมีตัวเลขผู้เข้ารับการขลิบไม่ถึงยอดที่ตั้งไว้ นอกจากนี้นักวิจัยยังระบุถึงอุปสรรคอีกอย่างก็คือ การสูญเสียรายได้เนื่องจากต้องหยุดงาน อีกทั้งยังมีค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ทำให้ไม่ค่อยมีคนมาขลิบเท่าที่ควร

ฮาร์ชา ธิรูเมอร์ธี จากมหาวิทยาลัยนอร์ทแคโรไลนาวิทยาเขตแชเปิลฮิลล์ ได้นำทีมทำการศึกษาชายผู้ที่ยังไม่ขลิบจำนวน 1,504 คน ในเอ็นยันซา ที่มีอายุระหว่าง 25-49 ปี และได้มีการแบ่งกลุ่มแบบการสุ่ม โดยที่แต่ละกลุ่มจะได้รับข้อเสนอเป็นคูปองอาหารหลากหลายราคา รวมถึงกลุ่มที่ไม่มีการจ่ายค่าชดเชยให้ด้วย

ผลสำรวจพบว่า 9 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ได้รับข้เสนอเป็นคูปองอาหาร 15 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตัดสินใจที่จะขลิบภายในเวลา 2 เดือน ส่วนกลุ่มที่ได้รับคูปองมูลค่า 8.75 ดอลลาร์ มีผู้ตัดสินใจขลิบ 6.6 เปอร์เซ็นต์ แต่กลุ่มที่ได้รับคูปอง 2.5 ดอลลาร์ มีผู้ตัดสินใจขลิบเพียงแค่ 1.9 เปอร์เซ็นต์ ด้านกลุ่มที่ไม่ได้รับข้อเสนอคูปองอาหาร มีเพียงแค่ 1.6 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่ตัดสินใจขลิบ

รายงานการศึกษาชิ้นนี้ซึ่งตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมแพทย์อเมริกัน ระบุว่า ตัวเลขผู้ขลิบโดยรวมถือว่าเพิ่มขึ้นแค่ "พอประมาณ" แต่สำหรับกลุ่มผู้ที่แต่งงานแล้วและผู้สูงอายุมีตัวเลขเข้ารับการขลิบที่เพิ่มขึ้นมาก ทั้งที่เคยเป็นกลุ่มที่โน้มน้าวใจให้ขลิบได้ยาก
กำลังโหลดความคิดเห็น