xs
xsm
sm
md
lg

ยูเอ็นชี้ 10 ปีที่ผ่านมายอดผู้เสียชีวิตจาก “เอดส์” ลดลง 1 ใน 3 แต่ผู้ติดเชื้อในอินเดีย-อินโดฯ เพิ่มขึ้น 48%

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เอเอฟพี - องค์การสหประชาชาติ (UN) ระบุวันนี้ (16 ก.ค.) ว่า ภายใน 1 ทศวรรษที่ผ่านมา ทั่วโลกมียอดผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์ และยอดผู้ติดเชื้อเอชไอวีหน้าใหม่ลดลงถึง 1 ใน 3 พร้อมทั้งแสดงความหวังว่าจะสามารถกำจัดโรคที่คร่าชีวิตผู้คนไปมากมายชนิดนี้ให้หมดไป

มิเชล ซิดิเบ ผู้อำนวยการโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (UNAIDS) กล่าวว่า ทั่วโลกกำลังพยายามต่อสู้เพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดจนสามารถสร้างความก้าวหน้าที่ยิ่งใหญ่ แต่กระนั้นการต่อสู้ก็ยังจะไม่สิ้นสุดลงง่ายๆ เนื่องจากทั่วโลกตอนนี้ยังมีผู้ป่วยเอชไอวีมากถึง 35 ล้านคน

เขากล่าวว่า “การยุติการแพร่ระบาดของโรคเอดส์สามารถทำได้”

องค์กรชำนาญการด้านโรคเอดส์ของ UN แห่งนี้ระบุในการรายงานทบทวนการระบาดที่นำออกเผยแพร่ก่อนการประชุมนานาชาติว่าด้วยโรคเอดส์ครั้งที่ 20 ในออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 20 ถึง 25 กรกฎาคมว่า ยอดผู้เสียชีวิตจากโรคเอดส์เมื่อปี 2012 ที่มี 1.7 ล้านคน ได้ลดลงไปอยู่ที่ 1.5 ล้านคน ในปี 2013

ตัวเลขประจำปี 2013 ถือว่าเป็นการลดลงอย่างฮวบฮาบที่สุด กล่าวคือลดลงไปถึง 35 เปอร์เซ็นต์จากยอดผู้เสียชีวิตสูงสุดที่ 2.4 ล้านคนในปี 2004 และ 2005

เมื่อปีที่แล้ว นอกจากยอดผู้เสียชีวิตจะดิ่งลงแล้ว ยอดผู้ติดเชื้อหน้าใหม่ก็ลดลงไปอยู่ที่ 2.1 ล้านคน โดยถือว่าลดลง 38 เปอร์เซ็นต์ จากยอดผู้ติดเชื้อหน้าใหม่ 3.4 ล้านคน ในปี 2001

รายงานฉบับนี้ยังระบุด้วยว่า เมื่อปี 2013 มีประชากรทั่วโลกยืนหยัดต่อสู้กับโรคร้ายชนิดนี้ทั้งหมด 35 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากยอด 34.6 ล้านคนในปีก่อน

ซิดิเบกล่าวว่า ในจำนวนนี้ “มี 19 ล้านคนไม่ทราบว่าตนเองเป็นโรคเอดส์”

แอฟริกายังคงรั้งตำแหน่งทวีปที่ได้รับผลกระทบรุนแรงที่สุด โดยเมื่อปี 2013 มีประชากรในทวีปเสียชีวิตด้วยโรคนี้มากถึง 1.1 ล้านคน ขณะที่พบผู้ได้รับเชื้อใหม่อีก 1.5 ล้านคน และมีชาวแอฟริกันต่อสู้กับเชื้อเอชไอวีถึงอีก 24.7 ล้านคน

สำหรับประเทศที่ได้รับผลกระทบอย่างเลวร้ายที่สุดในโลกคือแอฟริกาใต้ ตามมาด้วยไนจีเรีย

UNAIDS ตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาใหญ่ในภูมิภาคแอฟริกาใต้ทะเลทรายซาฮารา คือการขาดแคลนถุงยางอนามัย โดยเฉลี่ยแล้วชายที่มีเพศสัมพันธ์เป็นประจำมีโอกาสได้ใช้ถุงยางอนามัยเพียงปีละ 8 ชิ้นเท่านั้น

ในทวีปเอเชีย ประเทศที่น่าเป็นห่วง ได้แก่ อินเดีย และอินโดนีเซีย โดยอัตราติดเชื้อในช่วงหลังได้ทะยานสูงขึ้นจากในปี 2005 ถึง 48 เปอร์เซ็นต์

*** อุดช่องว่าง ***

UNAIDS ระบุว่า ความพยายามเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาต้านไวรัส เพื่อรักษาชีวิตพวกเขาให้ได้มากขึ้น รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยตอนนี้มีประชาชนกำลังเข้ารับการรักษาถึง 12.9 ล้านคน เมื่อเปรียบเทียบกับยอด 5.2 ล้านคนในปี 2009

ขณะที่ตัวเลขที่พุ่งสูงลิ่วเช่นนี้ดูน่าประทับใจ แต่ UN ก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้เมื่อ 2 ปีก่อน ที่จะทำให้ผู้ติดเชื้อได้รับการรักษาได้ 15 ล้านคนภายในปี 2015

ประชาคมนานาชาติได้ออกมาแสดงความกังวลครั้งแล้วครั้งเล่าว่ามีกลุ่มเสี่ยงที่อาจเข้าไม่ถึงโอกาสในการรักษา เนื่องจากบุคคลเหล่านี้ใช้ชีวิตในสังคมที่พวกเขาถูกกีดกันสิทธิจนกลายเป็นคนชายขอบ

เมื่อเร็วๆ นี้ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้เรียกร้องให้ทุ่มเทความพยายามรักษาชายรักร่วมเพศ ผู้ผ่าตัดแปลงเพศ นักโทษ ผู้ใช้สารเสพติด และผู้ค้าบริการทางเพศ ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของจำนวนผู้รับเชื้อเอชไอวีหน้าใหม่ทั่วโลก

ซิดิเบกล่าวว่า “เพื่อให้มั่นใจได้ว่าจะไม่มีผู้ใดถูกทอดทิ้ง ก็จะต้องมีการอุดช่องว่างระหว่างคนที่เข้าถึงการรักษากับผู้ที่เข้าไม่ถึง และช่องว่างระหว่างประชาชนที่ได้รับการปกป้องกับคนที่ถูกลงโทษ”

แม้ว่าการระดมเงินทุนสู้กับโรคเอดส์จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ โดยเพิ่มขึ้นจากยอด 3.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2002 เป็น 1.92 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2013 แต่องค์การสหประชาชาติก็ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่า จะรวบรวมเงินทุนได้ 2.2 ถึง 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2015

องค์การแห่งนี้ระบุว่า การลงทุนกับผู้ป่วยโรคเอดส์จะทำให้ได้เงินปันผลก้อนใหญ่ ฉุดยอดผู้เสียชีวิตให้น้อยลง และการที่มีจำนวนผู้ป่วยลดลงก็ช่วยปลดเปลื้องภาระให้แก่ระบบสาธารณสุข ทั้งยังช่วยให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีสามารถทำงาน และมีส่วนร่วมพัฒนาเศรษฐกิจได้นานขึ้น

กำลังโหลดความคิดเห็น