รอยเตอร์ - ผู้นำโบสถ์คริสต์ใหญ่ที่สุดในอิรักประณามการกระทำของกลุ่มติดอาวุธมุสลิมสุหนี่รัฐอิสลาม (Islamic State - IS) ที่ขับไล่ชาวคริสต์ออกจากเมืองโมซุลว่าเลวร้ายยิ่งกว่าสมัยจักรพรรดิมองโกล เจงกิสข่าน กับ ฮูลากู หลานชายของเขา บุกเข้าตีกรุงแบกแดดในยุคกลางเสียอีก
หลุยส์ ราฟาเอล ซาโก อัครบิดรแห่งคริสตจักรคาลเดียน ได้ออกมาประณามความโหดร้ายของกลุ่มไอเอส ซึ่งบังคับให้ชาวคริสต์ในเมืองโมซุลเลือกระหว่างการเปลี่ยนมานับถืออิสลาม ยอมรับกฎเหล็กและจ่ายภาษีศาสนาให้พวกเขา หรือไม่ก็ถูกประหารชีวิตด้วยคมดาบ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสทรงแถลงตำหนิการกระทำของกลุ่มไอเอส และชี้ว่าเป็นการกวาดล้างชาวคริสต์ในดินแดนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของศาสนา ขณะที่ บัน คีมูน เลขาธิการสหประชาชาติ ก็เตือนว่าสิ่งที่กลุ่มไอเอสกำลังทำอยู่เข้าข่ายก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ
ชาวคริสต์หลายร้อยครอบครัวตัดสินใจหลบหนีออกจากเมืองโมซุลก่อนจะถึงวันเสาร์ (26) ซึ่งเป็นกำหนดเส้นตายที่กลุ่มติดอาวุธประกาศไว้ บางรายถึงกับยอมทิ้งทรัพย์สินมีค่าไว้เบื้องหลังเพื่อเอาชีวิตรอด
เมืองโมซุลเคยมีชุมชนชาวคริสต์หลายหมื่นคนซึ่งตั้งรกรากอยู่ที่นี่ตั้งแต่ช่วงปีแรกๆ ที่ศาสนาคริสต์กำเนิดขึ้นบนโลก
ผู้ที่นับถือศาสนาอื่น เช่น มุสลิมชีอะห์ ชาวเคิร์ดกลุ่มยาซิดี (Yazidis) และชาวชาบัก (Shabaks) ต่างหลบหนีการลงโทษของพวกอิสลามิสต์หัวรุนแรง ซึ่งได้ทำลายศาสนสถานและยึดทรัพย์สินของชนกลุ่มน้อยในเมือง
“อาชญากรรมอันชั่วร้ายของรัฐอิสลามไม่ได้กระทำต่อชาวคริสต์เท่านั้น แต่เป็นการทำลายมวลมนุษยชาติ” อัครบิดร ซาโก กล่าวในพิธีสวดมนต์วาระพิเศษทางตะวันออกของกรุงแบกแดด โดยมีชาวมุสลิมประมาณ 200 คนมาร่วมพิธีเพื่อแสดงความสมัครสมานสามัคคีกับชุมชนชาวคริสต์
“เป็นไปได้อย่างไรในศตวรรษที่ 21 ที่ประชาชนจะถูกบังคับให้ทิ้งบ้านเรือน เพียงเพราะพวกเขาเป็นชาวคริสต์ ชีอะห์ สุหนี่ หรือยาซาดี... ครอบครัวชาวคริสต์จำนวนมากถูกขับไล่ สิ่งของมีค่าของพวกเขาถูกปล้นชิง และบ้านของพวกเขาถูกยึดโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่ารัฐอิสลาม”
“เรื่องเช่นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์ของคริสต์หรืออิสลาม แม้แต่ เจงกิสข่าน หรือฮูลากู หลานของเขา ก็ยังไม่ทำเช่นนี้”
ฮูลากู ข่าน นำกองทัพมองโกลเข้าปล้นสะดมกรุงแบกแดดเมื่อปี 1258 สังหารประชาชนไปหลายหมื่นคน และทำให้รัฐคอลีฟะห์ที่รุ่งเรืองมานานเกือบ 600 ปีต้องถึงกาลล่มสลาย
นายกรัฐมนตรีนูรี อัล-มาลิกี แห่งอิรัก ได้ประณามการแบ่งแยกกีดกันชาวคริสต์และการทำลายโบสถ์ในเมืองโมซุลว่าเป็น “อาชญากรรมร้ายแรงสุดขั้ว และสะท้อนให้เห็นนิสัยป่าเถื่อนชอบก่อการร้ายของนักรบอิสลามกลุ่มนี้”
มาลิกี ได้ตั้งคณะกรรมการของรัฐขึ้นมาดูแลและช่วยเหลือประชาชนที่ถูกขับไล่ออกจากที่อยู่อาศัยทั่วอิรัก และไม่ได้ระบุว่าเมื่อใดกองกำลังของรัฐบาลจึงจะยึดเมืองโมซุลกลับคืนมาได้
ปัจจุบันมีชาวอิรักพลัดถิ่นฐานแล้วกว่า 2 ล้านคน ขณะที่คณะทำงานขององค์การสหประชาชาติระบุว่า เมื่อเช้าวันอาทิตย์ (20) มีชาวอิรักอีกประมาณ 400 ครอบครัวหนีภัยสงครามไปถึง 2 เมืองในเขตปกครองตนเองชาวเคิร์ด และเร็วๆนี้ คาดว่าจะมีอีก 700 ครอบครัวที่หลบหนีไปยังเมืองอาร์บิล ซึ่งห่างจากโมซุลเพียงราวๆ 80 กิโลเมตร