รอยเตอร์ – ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย รับปากจะช่วยฟื้นอุตสาหกรรมสำรวจน้ำมันนอกชายฝั่งของคิวบา หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ประกาศ “ยกหนี้” สมัยสหภาพโซเวียตให้แก่คิวบาถึง 90% ซึ่งคิดเป็นมูลค่าสูงถึง 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ มาแล้ว นับเป็นความพยายามของผู้นำแดนหมีขาวที่จะสร้างอิทธิพลแถบละตินอเมริกาเพื่อต้านมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก
ปูติน ยังรับปากจะแปรสภาพ “หนี้” ส่วนที่เหลือของคิวบาอีกราว 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นเม็ดเงินลงทุนในโครงการใหญ่ๆ และยังได้พบกับ อิกอร์ เซชิน ประธานบริษัท รอสเนฟต์ (Rosneft) รัฐวิสาหกิจพลังงานของรัสเซีย ซึ่งได้เดินทางไปยังกรุงฮาวานาเช่นกันเพื่อลงนามข้อตกลงสำรวจน้ำมันนอกชายฝั่งตอนเหนือของคิวบา
แผนปลดหนี้และแปรสภาพหนี้จะช่วยอัดฉีดเม็ดเงินลงทุนต่างชาติซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับคิวบาในยามนี้ และถือเป็นการประกาศคานอำนาจกับสหรัฐฯ ซึ่งคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจกับรัฐคอมมิวนิสต์แห่งนี้มานานถึง 52 ปี จนเป็นผลให้บริษัทตะวันตกหลายแห่งไม่สามารถเข้าไปทำธุรกิจในคิวบาได้
“เราพร้อมที่จะสนับสนุนมิตรชาวคิวบา เพื่อให้สามารถเอาชนะการกีดกันทางเศรษฐกิจอันไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ปูติน กล่าว
การเดินทางเยือนหลังบ้านสหรัฐฯ ของ ปูติน ในครั้งนี้มีขึ้น ท่ามกลางกระแสกดดันจากชาติตะวันตกที่ต้องการให้มอสโกใช้อิทธิพลบีบกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดนในยูเครนให้ยอมวางอาวุธ และเปิดเจรจาสันติภาพกับรัฐบาลเคียฟอย่างจริงจัง
วิกฤตการณ์ยูเครนส่งผลให้วอชิงตันประกาศขึ้นบัญชีดำบุคคลใกล้ชิดของ ปูติน หลายราย ซึ่ง เซชิน เองก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ทรงอิทธิพลของรัสเซียที่ตกเป็นเป้าหมายคว่ำบาตรด้วย
ปูติน ได้เข้าพบอดีตประธานาธิบดี ฟิเดล คาสโตร วัย 87 ปี บิดาแห่งการปฏิวัติคิวบา โดยได้หารือเกี่ยวกับกิจการระหว่างประเทศ เศรษฐกิจโลก และความสัมพันธ์ระหว่างมอสโกและฮาวานาเป็นเวลาราว 1 ชั่วโมง
รัฐบาลคิวบาได้มอบเหรียญเชิดชูเกียรติ “โฆเซ มาร์ตี” ซึ่งเป็นอิสริยาภรณ์ชั้นสูงสุดของรัฐคอมมิวนิสต์แห่งนี้แก่ ปูติน ด้วย
แหล่งน้ำมันดิบอายุเก่าแก่บนแผ่นดินคิวบามีกำลังผลิตเพียงราวๆ 55,000 บาร์เรลต่อวัน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องนำเข้าน้ำมันราว 110,000 บาร์เรลต่อวันจากเพื่อนบ้านอย่างเวเนซุเอลา ซึ่งจำหน่ายให้ในราคาถูกเป็นพิเศษ
ทั้งนี้ หากมีการสำรวจพบแหล่งน้ำมันดิบขนาดใหญ่นอกชายฝั่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของคิวบาได้อย่างมาก
ประธานาธิบดี ปูติน จะเดินทางต่อไปยังอาร์เจนตินาและบราซิล เพื่อร่วมหารือทวิภาคีกับผู้นำทั้ง 2 ชาติ และจะเข้าร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเฟื่องฟูใหม่หรือ BRICS ซึ่งประกอบด้วยบราซิล, รัสเซีย, อินเดีย, จีน และแอฟริกาใต้ ระหว่างวันที่ 15-16 กรกฎาคมนี้