เอเจนซีส์ - รัฐบาลนิยมตะวันตกในกรุงเคียฟ ประกาศขยายผลปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้ายต่อกลุ่มกบฏฝักใฝ่รัสเซีย ไม่สนเสียงเรียกร้องจากเครมลินที่กดดันผ่านวอชิงตันให้ยูเครนยุติปฏิบัติการทางทหารในดินแดนภาคตะวันออกของประเทศในทันที หลังเหตุรุนแรงที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 50 คน
อันดรืย์ ปารูบืย์ ประธานสภาความมั่นคงและกลาโหมแห่งชาติของยูเครน ประกาศเมื่อวันอาทิตย์ (4) ว่า กองทัพจะขยายปฏิบัติการเชิงรุกในเมืองสโลเวียนสก์ และ ครามาทอร์สก์ ที่ “กลุ่มหัวรุนแรงสุดโต่งและผู้ก่อการร้าย” ดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย
ขณะที่ อาร์เซน อวาคอฟ รัฐมนตรีมหาดไทยยูเครนสำทับว่า การโจมตีเพื่อยึดคืนเมืองครามาทอร์สก์เริ่มต้นขึ้นเมื่อรุ่งเช้าวันอาทิตย์ และสามารถยึดสถานีทีวีในเมืองดังกล่าวได้แล้ว
ทั้งนี้ ความพยายามในการตอบโต้การลุกฮือของกลุ่มกบฏโปรรัสเซียคราวนี้ พุ่งเป้าที่เมืองสโลเวียนสก์เป็นหลัก โดยยูเครนกำลังพยายามวางกำลังปิดล้อมรอบเมืองใหญ่ที่มีประชากรราว 160,000 คนแห่งนี้ ส่งผลให้ประชาชนแตกตื่นและแห่ตุนอาหาร
ทางการยูเครนนั้นประกาศชัยชนะในการยึดด่านตรวจต่างๆ รอบๆ เมืองนี้มาหลายครั้ง ซึ่งบ่อยครั้งได้รับการพิสูจน์ว่า เป็นเพียงการกล่าวอ้าง
เป็นเวลาหลายสัปดาห์มาแล้ว ที่มีอาคารรัฐบาลตามเมืองใหญ่น้อยต่างๆ สิบกว่าแห่งทางภาคตะวันออกของยูเครน ถูกกลุ่มติดอาวุธนิยมรัสเซียบุกยึดเอาไว้ โดยที่เคียฟและโลกตะวันตกกล่าวหาว่า เครมลินเป็นผู้ปลุกปั่น แต่มอสโกปฏิเสธ พร้อมประกาศว่าจะดำเนินการตอบโต้หากผลประโยชน์ของตนในยูเครนถูกคุกคาม
สิ่งที่พอจะนับเป็นข่าวดีได้อยู่บ้างท่ามกลางสถานการณ์การเผชิญหน้าอันตึงเครียดคราวนี้ ได้แก่การที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ 7 คนขององค์การว่าด้วยความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป (โอเอสซีอี) เดินทางกลับถึงบ้านแล้วเมื่อเย็นวันเสาร์ (3) หลังจากถูกกลุ่มกบฏที่ยึดเมืองสลาเวียนสก์จับตัวไป 8 วัน
ทางด้าน โอเล็กซานเดอร์ ตูชินอฟ รักษาการประธานาธิบดีของยูเครน ประกาศให้ทั่วประเทศไว้อาลัยเป็นเวลา 2 วันเมื่อวันเสาร์ หลังจากมีผู้เสียชีวิตไป 10 คนในปฏิบัติการทางทหารรอบสลาเวียนสก์ และเกิดเหตุที่สร้างความเศร้าใจยิ่งกว่านั้น อันได้แก่การปะทะกันรุนแรงในโอเดสซาที่มีผู้เสียชีวิต 42 คน
โอเดสซา เมืองท่าในทะเลดำ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของยูเครน ยังคงอยู่ในความตึงเครียดจากการที่ผู้สนับสนุนรัฐบาลยูเครนวางแผนเดินขบวน ท่ามกลางความกังวลว่าจะถูกกลุ่มโปรรัสเซียขัดขวาง ทั้งนี้หลังจากในวันศุกร์ที่ผ่านมา (2) เพิ่งเกิดเจากการปะทะระหว่างสองฝ่ายแล้วทำให้เกิดไฟไหม้ตึกแห่งหนึ่ง ทำให้มีผู้เสียชีวิตจากเหตุเพลิงไหม้ 38 คน และอีก 4 คนเสียชีวิตจากการถูกยิง
มีรายงานด้วยว่า ในคืนวันเสาร์ ทหารยูเครน 2 คนได้รับบาดเจ็บ จากการที่กลุ่มผู้นิยมรัสเซียเข้าโจมตีสำนักงานจัดหางานในเมืองลูกันสก์ ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกของยูเครน
ในคืนดังกล่าว สื่อท้องถิ่นยังรายงานว่า มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 4 คนจากการยิงกันประปรายตามจุดต่างๆ ที่เมืองมาริวโปล ซึ่งกลุ่มกบฏยังคงยึดศาลาการเมืองอยู่
ขณะเดียวกัน ที่แหลมไครเมียที่ผนวกรวมกับรัสเซียไปแล้วในเดือนมีนาคม ได้เกิดการปะทะระหว่างตำรวจกับชาวตาตาร์ที่สนับสนุนเคียฟ ซึ่งชุมนุมประท้วงที่รัสเซียไม่ยอมให้ผู้นำของตนเข้าสู่ไครเมีย
เหตุรุนแรงล่าสุดในยูเครนกระตุ้นให้เกิดการตอบโต้รอบใหม่ระหว่างอเมริกากับรัสเซีย ขณะที่ความสัมพันธ์ตะวันออก-ตะวันตก อยู่ในระดับเลวร้ายที่สุดในช่วงหลังสงครามเย็น
เซียร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย เรียกร้องให้จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ใช้อิทธิพลของวอชิงตันกดดันให้เคียฟยุติ “การก่อสงครามกับประชาชนของตัวเอง”
ลาฟรอฟเตือนว่า ปฏิบัติการทางทหารนำยูเครนเข้าสู่ “ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง” และเรียกร้องให้โอเอสซีอีรับบทตัวกลางให้มากขึ้น
มอสโกยังเตือนว่า การที่ยูเครนจะเดินหน้าจัดการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 25 เดือนนี้ เป็นการกระทำที่ไร้สาระ เพราะประเทศกำลังระส่ำระสายจากความรุนแรง
เครมลินประกาศว่า ข้อตกลงสงบศึกชั่วคราวที่ตกลงกันที่เจนีวาเดือนที่แล้วล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และอ้างว่า ได้รับการเรียกร้องขอความช่วยเหลืออย่างจริงจังจากประชาชนมากมายในดินแดนตะวันออกของยูเครน ซึ่งประชากรจำนวนมากเป็นพวกที่พูดภาษารัสเซีย
ในอีกด้านหนึ่ง ฝ่ายตะวันตกกำลังแสดงความมุ่งมั่นที่จะออกมาตรการลงโทษคว่ำบาตรแดนหมีขาวให้หนักขึ้นอีก โดยเฉพาะหลังจากประธานาธิบดีบารัค โอบามา แถลงว่า จะเพิ่มการลงโทษทางเศรษฐกิจ หากมอสโกยังบ่อนทำลายเสถียรภาพของยูเครนก่อนหน้าการเลือกตั้ง
ทางด้านเคร์รีย้ำกับลาฟรอฟถึงความเป็นไปได้หรือความจริงที่ว่า ฝ่ายตะวันตกจะมีการลงโทษบางภาคส่วนเศรษฐกิจ ซึ่งมุ่งเน้นเป้าหมายเฉพาะเจาะจงที่จะทำให้เศรษฐกิจรัสเซียอ่อนแอ
รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ยกย่องการปล่อยตัวเจ้าหน้าที่โอเอสซีอี หลังจากประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ส่งเจ้าหน้าที่พิเศษเดินทางไปยังสลาเวียนสก์ แต่ย้ำว่า ยังมีขั้นตอนอีกหลายอย่างที่ต้องดำเนินการเพื่อแก้ไขสถานการณ์ที่ลุกลามอยู่ในยูเครน
รัสเซียนั้นมีทหารราว 40,000 คนตามแนวชายแดนติดกับยูเครน ซึ่งปูตินบอกว่า “หวังว่าจะไม่ต้องใช้” ด้านยูเครนตอบโต้ด้วยการสั่งเกณฑ์ทหารเพิ่มและสั่งให้กองทัพเตรียมพร้อมเต็มอัตราศึก