เอเอฟพี - สุลต่านฮัสซานัล โบลเกียะห์ แห่งบรูไน ประกาศในวันนี้ (30) ว่า หลักชาริอะฮ์ หรือกฎหมายอิสลามจะเริ่มบังคับใช้ในประเทศนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ (1 พฤษภาคม) เป็นต้นไป หลังจากที่เคยเลื่อนมาก่อนหน้านี้แล้ว หรือถึงแม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์จากทั้งองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และประชาชนชาวบรูไนที่ไม่เห็นด้วย
“ด้วยศรัทธาที่มั่นคงและความซาบซึ้งต่อพระอัลเลาะห์สูงสุด ข้าพเจ้าขอประกาศว่านับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ หรือวันพฤหัสบดีที่ 1 พฤษภาคม 2014 จะมีการบังคับใช้หลักชาริอะฮ์ภาค 1 และจะมีการทยอยการบังคับใช้หลักชาริอะฮ์ภาคต่อไปในอนาคต” สุลต่านฮัสซานัล โบลเกียะห์ ทรงประกาศพระราชโองการในวันนี้ (30)
แผนการบังคับใช้หลักชาริอะฮ์ในคดีอาญาที่มีโทษตั้งแต่การเฆี่ยน, ตัดมือตัดเท้า และปาหินจนตาย สร้างความไม่พอใจให้กับโลกโซเชียลมีเดียของบรูไนในต้นปี 2014 และผลจากความอลหม่านทำให้ที่สุดทางการบรูไนต้องชะลอแผนที่จะบังคับใช้กฎหมายอิสลามใหม่นี้ออกไป ที่ในชั้นแรกคาดกันว่าจะสามารถประกาศบังคับใช้ในวันที่ 22 เมษายนที่ผ่านมาได้ สร้างคำถามให้กับสาธารณะว่ากษัตริย์แห่งบรูไนทรงเริ่มลังเลพระทัย
แต่ทว่าสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียะห์ ซึ่งมีพระชนมายุ 63 พรรษา ที่ทรงถูกจัดเป็นหนึ่งในกลุ่มบุคคลที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลก ตรัสผ่านพระราชโองการว่า “การเคลื่อนไหวครั้งนี้ถือเป็นสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นภายใต้หลักอิสลาม เพื่อลบล้างข้อกล่าวหาที่ไม่มีวันสิ้นสุดว่า การลงโทษตามหลักชาริอะฮ์นั้นป่าเถื่อนจากความเห็นของผู้ต้องการจับผิดทั้งหลาย” และพระองค์ทรงตรัสย้ำว่า “นักทฤษฎีต่างวิจารณ์ว่าหลักของพระอัลเลาะห์นั้นโหดร้ายและไม่ยุติธรรม แต่พระองค์กลับตรัสว่ากฎของพระองค์นั้นยุติธรรมที่สุดแล้ว”
ทั้งนี้ 3 ปีก่อนหน้านี้ นิตยสารฟอร์บส์ได้เคยประมาณมูลค่ารวมของทรัพย์สินทั้งหมดขององค์สุลต่านบรูไนว่า มีร่วม 20 พันล้านดอลลาร์ ที่ประกอบไปด้วยรถยนต์หรูหราจำนวนมาก และพระราชวังที่มีทองคำประดับมากมาย
แต่ทว่าราชวงศ์บรูไนก็ต้องอับอายอย่างมากต่อข่าวฉาวของสมาชิกราชวงศ์ระหว่างสุลต่านฮัสซานัล โบลเกียะห์ และพระอนุชา เจ้าชายเจฟฟรี โบลเกียะห์ ในคดียักยอกทรัพย์มูลค่าร่วม 15 พันล้านดอลลาร์ ช่วงที่พระอนุชาทรงดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีการคลังในยุค 90 ซึ่งการขึ้นศาลทำให้เปิดเผยถึงภาพการใช้ชีวิตที่หรูหราของเจ้าชายเจฟฟรี โบลเกียะห์ ที่รวมไปถึงมีเรือยอชต์ “Tits “อีกด้วย
เหตุที่บรูไนเป็นประเทศเศรษฐีน้ำมัน ประชากรจึงมีมาตรฐานการดำรงชีวิตที่สูงกว่าเพื่อนบ้าน รวมถึงมาตรฐานการศึกษา และสวัสดิการสังคมต่างๆ ที่ได้รับการอุดหนุนจากรัฐ และถือว่าเป็นชาติแรกในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ใช้หลักชาริอะฮ์บังคับใช้ในระดับประเทศ
ทั้งนี้ ในเฟสแรกของการบังคับใช้พรุ่งนี้ (1 พฤษภาคม) จะรวมไปถึงการปรับในพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมต่างๆ ที่เริ่มตั้งแต่ไม่ไปร่วมสวดมนต์ในวันศุกร์ หรือการตั้งครรภ์โดยไม่ได้ผ่านการสมรส และเฟสที่ 2 ที่จะเริ่มภายหลังในปี 2014 จะบังคับใช้ในคดีลักขโมยและปล้น ที่รวมไปถึงการลงโทษโดยการเฆี่ยนตีอย่างหนัก และเฟสสุดท้ายที่จะเริ่มบังคับใช้ในปี 2015 นั้นจะมีการลงโทษขั้นประหารชีวิตด้วยการปาหินจนเสียชีวิตในข้อหาคบชู้ และการประพฤติวิตถารทางเพศ
