(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
US veterans promote ‘right to heal’
By Phyllis Bennis
15/04/2014
การก่อเหตุกราดยิงของทหารอเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งที่ค่ายฟอร์ตฮูด และที่ฐานทางทหารแห่งอื่นๆ ของสหรัฐฯ ตลอดจนอัตราการฆ่าตัวตายซึ่งกำลังเพิ่มสูงขึ้นของพวกทหารอเมริกันที่เคยผ่านศึกในอิรักและอัฟกานิสถาน เหล่านี้ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเกี่ยวโยงโดยตรงกับสงครามใหญ่ทั้ง 2 สมรภูมิดังกล่าว ในตอนนี้ พวกทหารผ่านศึกจึงกำลังเรียกร้องกดดันรัฐบาลสหรัฐฯให้แสดงความรับผิดชอบต่อเหยื่อผู้บริสุทธิ์ทุกๆ ฝ่ายของการสู้รบเหล่านี้
การก่อเหตุกราดยิงของทหารอเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งที่ค่ายฟอร์ตฮูด (Fort Hood) และที่ฐานทางทหารแห่งอื่นๆ ของสหรัฐฯ ทำให้สาธารณชนบังเกิดความสนใจขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง ในเรื่องความท้าทายและความยากลำบากที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า ทหารที่กำลังเดินทางกลับจากพื้นที่สงคราม จะสามารถพบความมั่นคงและความสนับสนุนอย่างเพียงพอเมื่อมาถึงบ้านเกิด หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ถึงกับเรียกแรงกดดันที่พวกทหารผ่านศึกต้องเผชิญว่าเป็น “สงครามครั้งใหม่” ทีเดียว (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://www.washingtonpost.com/politics/after-wars-abroad-obama-confronts-the-new-one-at-home/2014/04/09/3c666bfe-bf62-11e3-bcec-b71ee10e9bc3_story.html) ทว่าไม่ว่าสงครามครั้งต่อไปจะเป็นศึกอะไรก็ตามที สงครามที่เกิดขึ้นมาอยู่แล้วทั้งในอิรักและทั้งในอัฟกานิสถาน ตลอดจนผลสืบเนื่องของสงครามเหล่านี้ ก็จะยังคงดำเนินต่อไป
อัตราการฆ่าตัวตายที่พุ่งพรวดพราดในหมู่ทหารผ่านศึกอิรักและอัฟกานิสถาน (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://edition.cnn.com/2013/09/21/us/22-veteran-suicides-a-day/), จำนวนทหารที่หันอาวุธเข้าใส่กันและกันตลอดจนหันเข้าใส่ตนเองซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ , และการแพร่หลายราวกับโรคระบาดของ “อาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังความเครียดที่สะเทือนใจ” (Post-traumatic stress disorder ใช้อักษรย่อว่า PTSD) (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://www.militarytimes.com/article/20140403/BENEFITS06/304030066/Military-playing-catch-up-PTSD) เหล่านี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกับสงครามใหญ่ทั้ง 2 สมรภูมิดังกล่าวทั้งสิ้น สงครามแห่งการรุกรานและการยึดครอง ช่างมีผลอย่างมหาศาลและร้ายแรงต่อคนหนุ่มคนสาวที่ได้รับคำสั่งให้สู้รบในศึกเหล่านั้น
และที่พูดมานี้เรายังพิจารณาเพียงจากด้านของทหารสหรัฐฯเท่านั้น อันที่จริงเรายังมีความผิดชอบทางศีลธรรมและทางกฎหมายที่จะต้องตอบสนองต่อผลกระทบของสงครามใน 2 สมรภูมินี้ ซึ่งสร้างความวิบัติหายนะให้แก่ชาวอัฟกันและชาวอิรักมากกว่าด้วยซ้ำ
ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้คนประมาณ 100 คนได้ไปรวมตัวกันที่โบสถ์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://www.ivaw.org/blog/peoples-hearing-lasting-impact-iraq-war) เพื่อทำกิจกรรมซึ่งดูราวกับการปรากฏซ้ำอีกครั้งของฉากเหตุการณ์ที่เมื่อหลายๆ ปีก่อนเคยเป็นสิ่งปกติกว่านี้มาก–นั่นก็คือการตรวจสอบผลกระทบของสงครามที่สหรัฐฯทำในอิรัก ในคืนนั้น พวกทหารหนุ่มสาวซึ่งอยู่ในกลุ่ม “ทหารผ่านศึกอิรักต่อต้านสงคราม (Iraq Veterans Against the War) (โดยที่มีพ่อแม่ของพวกเขาเข้ามาร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง) ได้ร่วมกับเหล่าผู้นำด้านสิทธิสตรีและด้านแรงงานชาวอิรัก ตลอดจนพวกนักกฎหมาย, นักวิทยาการระบาด (epidemiologist), และนักเคลื่อนไหวซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ เพื่อดำเนินการรณรงค์เรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “สิทธิที่จะได้รับการเยียวยา” (ดูรายละเอียดของการรณรงค์เรียกร้องนี้ได้ที่เว็บ http://righttoheal.org/) ทั้งนี้ข้อเรียกร้องของทหารผ่านศึกเหล่านี้ เริ่มด้วยความต้องการเร่งด่วนที่จะให้ยุติวิธีปฏิบัติของกองทัพ ในการจัดส่งทหารที่ถูกตรวจพบว่ามีอาการ PTSD, การบาดเจ็บทางสมอง, และบาดแผลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กลับไปยังสนามรบ ความต้องการดังกล่าวนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการแก้ไขคลี่คลายปัญหาการฆ่าตัวตาย, การฆ่าคนตาย, ความรุนแรงภายในครอบครัว, และปัญหาอื่นๆ ซึ่งกำลังประสบกับทหารผ่านศึกจำนวนสูง ผู้กำลังเดินทางกลับจากประดาสงครามภายหลังเหตุการณ์ 9/11 พร้อมด้วยอาการบาดเจ็บจากจิตใจอย่างรุนแรง
แต่กลุ่มทหารผ่านศึกอิรักต่อต้านสงคราม ยังระบุในข้อเรียกร้องของกลุ่มตน ให้ขยายครอบคลุมไปถึงความจำเป็น ที่จะต้องทำการตอบสนองต่อสภาพความวิบัติถูกทำลายล้างอย่างร้ายแรงล้ำลึกที่ยังคงดำรงอยู่ในอิรักและอัฟกานิสถาน ไม่ว่าจะในทางสังคม, สิ่งแวดล้อม, หรือการแพทย์ และยังคงคอยรังควาญรบกวนประเทศที่แตกสลายด้วยความรุนแรงเหล่านี้
กองทหารสหรัฐฯได้รับคำสั่งถอนตัวออกมาจากอิรักเป็นเวลา 2 ปีครึ่งแล้วก็จริงอยู่ ทว่าสหรัฐฯไม่เพียงเข้าไปยึดครองประเทศนั้นเอาไว้เป็นเวลายาวนานเกือบสิบปีเท่านั้น แต่การยึดครองดังกล่าวยังเกิดขึ้นหลังจากการรุกรานในปี 2003 รวมทั้งก่อนหน้านั้นเพนตากอนก็ได้ทำศึกโจมตีอิรักเมื่อปี 1991 แล้วสหรัฐฯยังเป็นผู้นำในการใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรมุ่งทำให้ประเทศนั้นพิกลพิการเป็นเวลา 12 ปี เหล่านี้ได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอิรักเสียจนย่อยยับ, ล้างผลาญสิ่งแวดล้อมของประเทศนั้น, และฉีกทำลายโครงสร้างทางสังคมของอิรักจนขาดวิ่น ผลพวงต่อเนื่องของสงครามจากน้ำมือของสหรัฐฯ ยังคงแฝงฝังอยู่ในเขตเมืองใหญ่ๆ ที่แหลกสลาย, แม่น้ำสายต่างๆ ที่เต็มไปด้วยมลพิษ, หลุมเผาขยะและสิ่งของทางทหารที่อุดมด้วยสารก่อมะเร็ง, ตลอดจนในร่างกายของชาวอิรักนับแสนๆ หรือกระทั่งนับล้านๆ คน และในร่างกายของทหารอเมริกันหลายหมื่นคน
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้ตีพิมพ์เผยแพร่รายงานข่าวหน้าหนึ่งซึ่งรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบของสงครามอัฟกานิสถานที่มีต่อชาวอัฟกัน ในรายงานข่าวชนิดที่สื่อมวลชนอเมริกันนำเสนอกันน้อยเกินไปชิ้นนี้ ((ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.washingtonpost.com/world/a-rising-number-of-children-are-dying-from-us-explosives-littering-afghan-land/2014/04/09/dea709ae-b900-11e3-9a05-c739f29ccb08_story.html) วอชิงตันโพสต์ได้ชำแหละตรวจสอบผลพวงต่อเนื่องในแง่มุมที่ “เด็กๆ จำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ... กำลังเสียชีวิตจากวัตถุระเบิดของสหรัฐฯซึ่งถูกทิ้งเกลื่อนกระจัดกระจายอยู่ในดินแดนของชาวอัฟกัน” รายงานชิ้นนี้ให้ภาพที่ใกล้เคียงกับสภาพของอิรักภายหลังการยึดครองของอเมริกันเป็นอย่างมาก กล่าวคือ “ในขณะที่กองทหารสหรัฐฯกำลังถอนตัวออกไปจากอัฟกานิสถาน” วอชิงตันโพสต์บอกว่า “กองทัพอเมริกันก็กำลังละทิ้งมรดกอันมีอันตรายถึงชีวิตเอาไว้เบื้องหลัง อันได้แก่พื้นที่ประมาณ 800 ตารางไมล์ซึ่งถูกทิ้งกระจัดกระจายไปด้วยระเบิดมือที่ยังไม่ได้ระเบิด, ตลอดจนจรวดและลูกปืนครกในลักษณะเดียวกัน กองทหารสหรัฐฯยังถอนตัวปล่อยทิ้งพื้นที่สนามฝึกซ้อมทางทหารหลายสิบแห่งซึ่งเกลื่อนไปด้วยวัตถุระเบิด มีเด็กๆ จำนวนหลายสิบคนแล้วที่ถูกฆ่าหรือได้รับบาดเจ็บเนื่องจากไปสะดุดเข้ากับอาวุธนานาในสนามเหล่านี้ ซึ่งบ่อยครั้งมักมีการทำเครื่องหมายให้สังเกตรับทราบอย่างย่ำแย่เต็มที” รายงานยังกล่าวแบบเป็นลางสังหรณ์ในทางเลวร้ายเอาไว้ด้วยว่า “จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายน่าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างสูงลิ่ว โดยที่พวกเจ้าหน้าที่บอกว่า กองทหารสหรัฐฯได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกมาจนหมดจากพื้นที่เพียงแค่ 3% ของอาณาบริเวณอันกว้างขวางที่พวกเขาเคยครอบครองใช้สอยอยู่เท่านั้น”
กลับมาที่โบสถ์ท้องถิ่นในกรุงวอชิงตันกันอีกครั้ง เหล่าสมาชิกของกลุ่มทหารผ่านศึกอิรักต่อต้านสงคราม ได้ขึ้นพูดบอกเล่ารายละเอียดประสบการณ์ของพวกเขา โดยที่มี ฟิล โดนาฮิว (Phil Donahue) โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์และพิธีกรรายการทีวีมายาวนาน ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ แม่ของ โจชัว แคสตีล (Joshua Casteel) เจ้าหน้าที่ซักถามของกองทัพบกอเมริกัน ณ เรือนจำอบู กรออิบ (Abu Ghraib) ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งชนิดไม่ค่อยมีใครเป็นกันเมื่อเดือนสิงหาคม 2012 ได้เล่าถึงลักษณะพิษร้ายอันตรายชนิดต่างๆ ของหลุมเผาสิ่งของของกองทหารสหรัฐฯ หลุมเหล่านี้มีทั้งพลาสติกและวัสดุทางเคมีชนิดอื่นๆ และตั้งอยู่ห่างเพียงประมาณ 100 เมตรจากจุดที่ โจชัว พำนักอาศัย, ทำงาน, ตลอดจนหายใจเอาควันหนาสีดำเข้าไปเป็นระยะเวลา 7 เดือนในปี 2004
ทางด้าน โมซแกน ซาวาเบียสฟาฮานี (Mozhgan Savabieasfahani) นักพิษวิทยาจากสิ่งแวดล้อมชาวอเมริกัน ได้รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับโรคมะเร็งชนิดต่างๆ, ความผิดปกติของทารกตั้งแต่แรกเกิด, ตลอดจนวิกฤตด้านสุขภาพอื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นในหมู่ชาวอิรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามพื้นที่ซึ่ง “สาธารณชนชาวอิรักต้องสัมผัสกับสารประกอบที่เป็นพิษต่างๆ เป็นต้นว่า ตะกั่ว และปรอท” เธอบอกว่า “ฉันปรารถนามากที่จะได้เห็นผลการทดสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในอิรัก ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับที่ใหญ่โตกว้างขวาง”
ขณะที่ ยานาร์ โมฮัมเหม็ด (Yanar Mohammed) นักรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีชาวอิรัก เรียกร้องให้ “จ่ายเงินชดเชยความเสียหายแก่ครอบครัวต่างๆ ในอิรัก ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาทารกมีความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด ครอบครัวชาวอิรักซึ่งต้องอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งปนเปื้อนสารพิษ จำเป็นที่จะต้องมีการทำความสะอาด ... สหรัฐฯต้องแสดงตนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้”
การแสดงความรับผิดชอบเช่นนี้ ทั้งต่อประชาชนของอิรักและอัฟกานิสถาน และต่อกองทหารสหรัฐฯซึ่งกำลังเดินทางกลับจากการเข้าร่วมทำสงครามและการยึดครองอยู่เป็นแรมปี น่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองกองทหารและทหารผ่านศึกอเมริกัน ได้มากมายและยาวไกลยิ่งกว่าแค่การใช้มาตรการควบคุมอาวุธปืนในค่ายฟอร์ตฮูด
ฟิลลิส เบนนิส เป็นผู้อำนวยการโครงการสากลนิยมใหม่ (New Internationalism Project) ที่ สถาบันเพื่อการศึกษาทางนโยบาย (Institute for Policy Studies) ในกรุงวอชิงตัน
US veterans promote ‘right to heal’
By Phyllis Bennis
15/04/2014
การก่อเหตุกราดยิงของทหารอเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งที่ค่ายฟอร์ตฮูด และที่ฐานทางทหารแห่งอื่นๆ ของสหรัฐฯ ตลอดจนอัตราการฆ่าตัวตายซึ่งกำลังเพิ่มสูงขึ้นของพวกทหารอเมริกันที่เคยผ่านศึกในอิรักและอัฟกานิสถาน เหล่านี้ไม่มีข้อสงสัยเลยว่าเกี่ยวโยงโดยตรงกับสงครามใหญ่ทั้ง 2 สมรภูมิดังกล่าว ในตอนนี้ พวกทหารผ่านศึกจึงกำลังเรียกร้องกดดันรัฐบาลสหรัฐฯให้แสดงความรับผิดชอบต่อเหยื่อผู้บริสุทธิ์ทุกๆ ฝ่ายของการสู้รบเหล่านี้
การก่อเหตุกราดยิงของทหารอเมริกันเมื่อเร็วๆ นี้ ทั้งที่ค่ายฟอร์ตฮูด (Fort Hood) และที่ฐานทางทหารแห่งอื่นๆ ของสหรัฐฯ ทำให้สาธารณชนบังเกิดความสนใจขึ้นมาอีกคำรบหนึ่ง ในเรื่องความท้าทายและความยากลำบากที่จะทำให้มั่นใจได้ว่า ทหารที่กำลังเดินทางกลับจากพื้นที่สงคราม จะสามารถพบความมั่นคงและความสนับสนุนอย่างเพียงพอเมื่อมาถึงบ้านเกิด หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ถึงกับเรียกแรงกดดันที่พวกทหารผ่านศึกต้องเผชิญว่าเป็น “สงครามครั้งใหม่” ทีเดียว (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://www.washingtonpost.com/politics/after-wars-abroad-obama-confronts-the-new-one-at-home/2014/04/09/3c666bfe-bf62-11e3-bcec-b71ee10e9bc3_story.html) ทว่าไม่ว่าสงครามครั้งต่อไปจะเป็นศึกอะไรก็ตามที สงครามที่เกิดขึ้นมาอยู่แล้วทั้งในอิรักและทั้งในอัฟกานิสถาน ตลอดจนผลสืบเนื่องของสงครามเหล่านี้ ก็จะยังคงดำเนินต่อไป
อัตราการฆ่าตัวตายที่พุ่งพรวดพราดในหมู่ทหารผ่านศึกอิรักและอัฟกานิสถาน (ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://edition.cnn.com/2013/09/21/us/22-veteran-suicides-a-day/), จำนวนทหารที่หันอาวุธเข้าใส่กันและกันตลอดจนหันเข้าใส่ตนเองซึ่งมากขึ้นเรื่อยๆ , และการแพร่หลายราวกับโรคระบาดของ “อาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นหลังความเครียดที่สะเทือนใจ” (Post-traumatic stress disorder ใช้อักษรย่อว่า PTSD) (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://www.militarytimes.com/article/20140403/BENEFITS06/304030066/Military-playing-catch-up-PTSD) เหล่านี้ล้วนแต่เชื่อมโยงกับสงครามใหญ่ทั้ง 2 สมรภูมิดังกล่าวทั้งสิ้น สงครามแห่งการรุกรานและการยึดครอง ช่างมีผลอย่างมหาศาลและร้ายแรงต่อคนหนุ่มคนสาวที่ได้รับคำสั่งให้สู้รบในศึกเหล่านั้น
และที่พูดมานี้เรายังพิจารณาเพียงจากด้านของทหารสหรัฐฯเท่านั้น อันที่จริงเรายังมีความผิดชอบทางศีลธรรมและทางกฎหมายที่จะต้องตอบสนองต่อผลกระทบของสงครามใน 2 สมรภูมินี้ ซึ่งสร้างความวิบัติหายนะให้แก่ชาวอัฟกันและชาวอิรักมากกว่าด้วยซ้ำ
ในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผู้คนประมาณ 100 คนได้ไปรวมตัวกันที่โบสถ์ท้องถิ่นแห่งหนึ่งในกรุงวอชิงตัน (ดูรายละเอียดที่เว็บเพจ http://www.ivaw.org/blog/peoples-hearing-lasting-impact-iraq-war) เพื่อทำกิจกรรมซึ่งดูราวกับการปรากฏซ้ำอีกครั้งของฉากเหตุการณ์ที่เมื่อหลายๆ ปีก่อนเคยเป็นสิ่งปกติกว่านี้มาก–นั่นก็คือการตรวจสอบผลกระทบของสงครามที่สหรัฐฯทำในอิรัก ในคืนนั้น พวกทหารหนุ่มสาวซึ่งอยู่ในกลุ่ม “ทหารผ่านศึกอิรักต่อต้านสงคราม (Iraq Veterans Against the War) (โดยที่มีพ่อแม่ของพวกเขาเข้ามาร่วมด้วยจำนวนหนึ่ง) ได้ร่วมกับเหล่าผู้นำด้านสิทธิสตรีและด้านแรงงานชาวอิรัก ตลอดจนพวกนักกฎหมาย, นักวิทยาการระบาด (epidemiologist), และนักเคลื่อนไหวซึ่งอยู่ในสหรัฐฯ เพื่อดำเนินการรณรงค์เรียกร้องในสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “สิทธิที่จะได้รับการเยียวยา” (ดูรายละเอียดของการรณรงค์เรียกร้องนี้ได้ที่เว็บ http://righttoheal.org/) ทั้งนี้ข้อเรียกร้องของทหารผ่านศึกเหล่านี้ เริ่มด้วยความต้องการเร่งด่วนที่จะให้ยุติวิธีปฏิบัติของกองทัพ ในการจัดส่งทหารที่ถูกตรวจพบว่ามีอาการ PTSD, การบาดเจ็บทางสมอง, และบาดแผลที่เกี่ยวข้องอื่นๆ กลับไปยังสนามรบ ความต้องการดังกล่าวนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับการแก้ไขคลี่คลายปัญหาการฆ่าตัวตาย, การฆ่าคนตาย, ความรุนแรงภายในครอบครัว, และปัญหาอื่นๆ ซึ่งกำลังประสบกับทหารผ่านศึกจำนวนสูง ผู้กำลังเดินทางกลับจากประดาสงครามภายหลังเหตุการณ์ 9/11 พร้อมด้วยอาการบาดเจ็บจากจิตใจอย่างรุนแรง
แต่กลุ่มทหารผ่านศึกอิรักต่อต้านสงคราม ยังระบุในข้อเรียกร้องของกลุ่มตน ให้ขยายครอบคลุมไปถึงความจำเป็น ที่จะต้องทำการตอบสนองต่อสภาพความวิบัติถูกทำลายล้างอย่างร้ายแรงล้ำลึกที่ยังคงดำรงอยู่ในอิรักและอัฟกานิสถาน ไม่ว่าจะในทางสังคม, สิ่งแวดล้อม, หรือการแพทย์ และยังคงคอยรังควาญรบกวนประเทศที่แตกสลายด้วยความรุนแรงเหล่านี้
กองทหารสหรัฐฯได้รับคำสั่งถอนตัวออกมาจากอิรักเป็นเวลา 2 ปีครึ่งแล้วก็จริงอยู่ ทว่าสหรัฐฯไม่เพียงเข้าไปยึดครองประเทศนั้นเอาไว้เป็นเวลายาวนานเกือบสิบปีเท่านั้น แต่การยึดครองดังกล่าวยังเกิดขึ้นหลังจากการรุกรานในปี 2003 รวมทั้งก่อนหน้านั้นเพนตากอนก็ได้ทำศึกโจมตีอิรักเมื่อปี 1991 แล้วสหรัฐฯยังเป็นผู้นำในการใช้มาตรการลงโทษคว่ำบาตรมุ่งทำให้ประเทศนั้นพิกลพิการเป็นเวลา 12 ปี เหล่านี้ได้ทำลายโครงสร้างพื้นฐานของอิรักเสียจนย่อยยับ, ล้างผลาญสิ่งแวดล้อมของประเทศนั้น, และฉีกทำลายโครงสร้างทางสังคมของอิรักจนขาดวิ่น ผลพวงต่อเนื่องของสงครามจากน้ำมือของสหรัฐฯ ยังคงแฝงฝังอยู่ในเขตเมืองใหญ่ๆ ที่แหลกสลาย, แม่น้ำสายต่างๆ ที่เต็มไปด้วยมลพิษ, หลุมเผาขยะและสิ่งของทางทหารที่อุดมด้วยสารก่อมะเร็ง, ตลอดจนในร่างกายของชาวอิรักนับแสนๆ หรือกระทั่งนับล้านๆ คน และในร่างกายของทหารอเมริกันหลายหมื่นคน
ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ได้ตีพิมพ์เผยแพร่รายงานข่าวหน้าหนึ่งซึ่งรวบรวมข้อมูลหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับผลกระทบของสงครามอัฟกานิสถานที่มีต่อชาวอัฟกัน ในรายงานข่าวชนิดที่สื่อมวลชนอเมริกันนำเสนอกันน้อยเกินไปชิ้นนี้ ((ดูรายละเอียดได้ที่เว็บเพจ http://www.washingtonpost.com/world/a-rising-number-of-children-are-dying-from-us-explosives-littering-afghan-land/2014/04/09/dea709ae-b900-11e3-9a05-c739f29ccb08_story.html) วอชิงตันโพสต์ได้ชำแหละตรวจสอบผลพวงต่อเนื่องในแง่มุมที่ “เด็กๆ จำนวนเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ... กำลังเสียชีวิตจากวัตถุระเบิดของสหรัฐฯซึ่งถูกทิ้งเกลื่อนกระจัดกระจายอยู่ในดินแดนของชาวอัฟกัน” รายงานชิ้นนี้ให้ภาพที่ใกล้เคียงกับสภาพของอิรักภายหลังการยึดครองของอเมริกันเป็นอย่างมาก กล่าวคือ “ในขณะที่กองทหารสหรัฐฯกำลังถอนตัวออกไปจากอัฟกานิสถาน” วอชิงตันโพสต์บอกว่า “กองทัพอเมริกันก็กำลังละทิ้งมรดกอันมีอันตรายถึงชีวิตเอาไว้เบื้องหลัง อันได้แก่พื้นที่ประมาณ 800 ตารางไมล์ซึ่งถูกทิ้งกระจัดกระจายไปด้วยระเบิดมือที่ยังไม่ได้ระเบิด, ตลอดจนจรวดและลูกปืนครกในลักษณะเดียวกัน กองทหารสหรัฐฯยังถอนตัวปล่อยทิ้งพื้นที่สนามฝึกซ้อมทางทหารหลายสิบแห่งซึ่งเกลื่อนไปด้วยวัตถุระเบิด มีเด็กๆ จำนวนหลายสิบคนแล้วที่ถูกฆ่าหรือได้รับบาดเจ็บเนื่องจากไปสะดุดเข้ากับอาวุธนานาในสนามเหล่านี้ ซึ่งบ่อยครั้งมักมีการทำเครื่องหมายให้สังเกตรับทราบอย่างย่ำแย่เต็มที” รายงานยังกล่าวแบบเป็นลางสังหรณ์ในทางเลวร้ายเอาไว้ด้วยว่า “จำนวนผู้บาดเจ็บล้มตายน่าที่จะเพิ่มขึ้นอย่างสูงลิ่ว โดยที่พวกเจ้าหน้าที่บอกว่า กองทหารสหรัฐฯได้ดำเนินการเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ ออกมาจนหมดจากพื้นที่เพียงแค่ 3% ของอาณาบริเวณอันกว้างขวางที่พวกเขาเคยครอบครองใช้สอยอยู่เท่านั้น”
กลับมาที่โบสถ์ท้องถิ่นในกรุงวอชิงตันกันอีกครั้ง เหล่าสมาชิกของกลุ่มทหารผ่านศึกอิรักต่อต้านสงคราม ได้ขึ้นพูดบอกเล่ารายละเอียดประสบการณ์ของพวกเขา โดยที่มี ฟิล โดนาฮิว (Phil Donahue) โปรดิวเซอร์ภาพยนตร์และพิธีกรรายการทีวีมายาวนาน ทำหน้าที่เป็นผู้ดำเนินรายการ แม่ของ โจชัว แคสตีล (Joshua Casteel) เจ้าหน้าที่ซักถามของกองทัพบกอเมริกัน ณ เรือนจำอบู กรออิบ (Abu Ghraib) ผู้ซึ่งเสียชีวิตไปด้วยโรคมะเร็งชนิดไม่ค่อยมีใครเป็นกันเมื่อเดือนสิงหาคม 2012 ได้เล่าถึงลักษณะพิษร้ายอันตรายชนิดต่างๆ ของหลุมเผาสิ่งของของกองทหารสหรัฐฯ หลุมเหล่านี้มีทั้งพลาสติกและวัสดุทางเคมีชนิดอื่นๆ และตั้งอยู่ห่างเพียงประมาณ 100 เมตรจากจุดที่ โจชัว พำนักอาศัย, ทำงาน, ตลอดจนหายใจเอาควันหนาสีดำเข้าไปเป็นระยะเวลา 7 เดือนในปี 2004
ทางด้าน โมซแกน ซาวาเบียสฟาฮานี (Mozhgan Savabieasfahani) นักพิษวิทยาจากสิ่งแวดล้อมชาวอเมริกัน ได้รวบรวมหลักฐานเกี่ยวกับโรคมะเร็งชนิดต่างๆ, ความผิดปกติของทารกตั้งแต่แรกเกิด, ตลอดจนวิกฤตด้านสุขภาพอื่นๆ ซึ่งเกิดขึ้นในหมู่ชาวอิรัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งตามพื้นที่ซึ่ง “สาธารณชนชาวอิรักต้องสัมผัสกับสารประกอบที่เป็นพิษต่างๆ เป็นต้นว่า ตะกั่ว และปรอท” เธอบอกว่า “ฉันปรารถนามากที่จะได้เห็นผลการทดสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมในอิรัก ซึ่งเป็นการทดสอบในระดับที่ใหญ่โตกว้างขวาง”
ขณะที่ ยานาร์ โมฮัมเหม็ด (Yanar Mohammed) นักรณรงค์เพื่อสิทธิสตรีชาวอิรัก เรียกร้องให้ “จ่ายเงินชดเชยความเสียหายแก่ครอบครัวต่างๆ ในอิรัก ซึ่งกำลังเผชิญปัญหาทารกมีความผิดปกติตั้งแต่แรกเกิด ครอบครัวชาวอิรักซึ่งต้องอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งปนเปื้อนสารพิษ จำเป็นที่จะต้องมีการทำความสะอาด ... สหรัฐฯต้องแสดงตนเป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้”
การแสดงความรับผิดชอบเช่นนี้ ทั้งต่อประชาชนของอิรักและอัฟกานิสถาน และต่อกองทหารสหรัฐฯซึ่งกำลังเดินทางกลับจากการเข้าร่วมทำสงครามและการยึดครองอยู่เป็นแรมปี น่าจะช่วยปกป้องคุ้มครองกองทหารและทหารผ่านศึกอเมริกัน ได้มากมายและยาวไกลยิ่งกว่าแค่การใช้มาตรการควบคุมอาวุธปืนในค่ายฟอร์ตฮูด
ฟิลลิส เบนนิส เป็นผู้อำนวยการโครงการสากลนิยมใหม่ (New Internationalism Project) ที่ สถาบันเพื่อการศึกษาทางนโยบาย (Institute for Policy Studies) ในกรุงวอชิงตัน