เอเอฟพี - ชายรายหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นนักโทษประหารที่ติดคุกยาวนานที่สุดในโลก ได้รับอิสรภาพชั่วคราวในวันพฤหัสบดี (27) หลังต้องใช้ชีวิตในห้องขังมานานหลายทศรรษ เมื่อศาลสั่งให้รื้อฟื้นคดี เหตุพบมีการปลอมแปลงหลักฐานของหน่วยงานที่ดำเนินการสืบสวน การหักมุมซึ่งไม่พบเห็นบ่อยนักของระบบยุติธรรมญี่ปุ่นที่ไร้ความยืดหยุ่น
นายอิวาโอะ ฮาคามาดะ วัย 78 ปี ในสภาพอิดโรย โผล่ออกจากมาเรือนจำโตเกียวพร้อมกับน้องสาวนักเคลื่อนไหว หลังจากศาลแขวงชิซุโอกะ มีคำสั่งให้เปิดพิจารณาคดีใหม่ในข้อหาที่เขาฆาตกรรมนายจ้างและครอบครัวเมื่อปี 1966
ฮิโรอากิ มารายามา ผู้พิพากษาซึ่งรับผิดชอบคดีนี้ระบุมีความกังวลว่าคณะสืบสวนอาจสร้างหลักฐานขึ้นมาเพื่อให้ศาลพิพากษาผู้ต้องหารายนี้ว่ามีความผิดเมื่อเกือบครึ่งศตวรรษก่อน เนื่องจากพวกเขาต้องการเร่งปิดคดีอาชญากรรมร้ายแรงที่สร้างความสะเทือนใจไปทั่วประเทศ “มีความเป็นไปได้ที่หลักฐานชิ้นสำคัญจะเป็นการจัดฉากขึ้นมาเองของหน่วยงานต่างๆที่ดำเนินการสืบสวน” ขณะที่อัยการชิสซุโอกะ ซึ่งมีเวลา 3 วันสำหรับยื่นอุทธรณ์ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนว่ารูสึกแปลกใจกับการตัดสินใจของศาลเป็นอย่างยิ่ง
นอกเหนือจากสหรัฐฯแล้ว ญี่เป็นชาติประชาธิปไตยอุตสาหกรรมเดียวที่ยังมีการลงโทษประหารชีวิต ซึ่งทำให้ถูกประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากรัฐบาลชาติยุโรปและกลุ่มสิทธิมนุษยชนต่างๆ ที่บอกว่าระบบยุติธรรมของดินแดนแห่งนี้เฉเฉียงไปตามความประสงค์ของอัยการ
นายฮาคามาดะ เป็นเพียงผู้ต้องขังรายที่ 6 นับตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งได้รับการรื้อฟื้นคดี หลังจากโดนพิพากษาประหารชัวิต และคดีของเขาก็ช่วยกระตุ้นเสียงต่อต้านโทษประหารชีวิตให้หนักหน่วงยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ในบรรดานักโทษประหาร 5 รายที่ได้รับการพิจารณาคดีใหม่ก่อนหน้านี้ มีอยู่ 4 รายที่ในเวลาต่อมาได้รับการชำระคดี ส่วนรายที่ 5 ศาลปฏิเสธคำอุทธรณ์ขอไต่สวนใหม่ แม้ทนายความของเขาได้ยื่นคำร้องอีกรอบด้วยหลักฐานใหม่ก็ตาม
หลังจากถูกจับกุม เบื้องต้นนาย ฮาคามาดะ ปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเขาปล้นฆ่านายจ้าง ภรรยาและลูกๆ อีก 2 คน ก่อนวางเพลิงเผาบ้าน อย่างไรก็ตามภายหลังอดีตนักมวยรายกลับยอมรับสารภาพ ซึ่งต่อมาเขาอ้างว่าที่ต้องรับสารภาพก็เพราะถูกตำรวจทำร้ายอย่างทารุณระหว่างการสอบปากคำ
เขาได้กลับคำให้การไม่ยอมรับสารภาพ แต่ไม่มีประโยชน์ เมื่อศาลฎีกายืนยันโทษประหารชีวิตเขาในปี 1980
อัยการและศาลใช้เสื้อผ้าที่เปื้อนคราบเลือดเป็นหลักฐานสำคัญในการตัดสินว่านายฮาคามาดะ มีความผิด ทั้งที่หลักฐานดังกล่าวเพิ่งถูกพบหลังจากคดีฆาตกรรมและการจับกุมตัวเขาผ่านพ้นไปแล้วราว 1 ปี
ฝ่ายผู้สนับสนุนนายฮาคามาดะ บอกว่าเสื้อผ้าเหล่านั้นไม่พอดีกับตัวผู้ต้องหา ส่วนคราบเลือดก็ดูสดใหม่เกินไปกับข้อเท็จจริงที่ว่ามันถูกพบหลังจากคดีอาชญากรรมเกิดขึ้นนานแล้ว และต่อมาผลตรวจดีเอ็นเอก็ไม่พบความเชื่อมโยงระหว่างนายฮาคามาดะกับเสื้อผ้าและคราบเลือดเหล่านั้น แต่กระนั้นนักโทษรายนี้ก็ยังถูกขังเดี่ยวรอการประหารชีวิตอยู่ดี
เหล่าผู้สนับสนุนเขาและทนายความบางส่วน ในนั้นรวมถึงจากสมาคมทนายความญี่ปุ่น เคยส่งเสียงทักท้วงถึงข้อสงสัยเกี่ยวกับหลักฐาน การสืบสวนของตำรวจและตรรกของศาลที่นำไปสู่การลงโทษประหารชีวิตในคดีนี้ แต่ก็ไม่ได้รับการเหลียวแล ทั้งนี้แม้กระทั่งหนึ่งในคณะผู้พิพากษาศาลชั้นต้นที่สั่งลงโทษประหารชีวิตนายฮาคามาดะในปี 1968 ก็ยอมรับไม่เคยเชื่อว่าชายคนนี้มีความผิด แต่ก็ไม่สามารถโน้มน้าวให้ผู้พิพากษาคนอื่นๆ เห็นตามได้