รอยเตอร์ - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ รับบทกาวใจดึงผู้นำญี่ปุ่นและเกาหลีใต้เปิดประชุม 3 ฝ่ายที่กรุงเฮก เมื่อวานนี้ (25 มี.ค.) ซึ่งถือเป็นการหารือครั้งประวัติศาสตร์ที่นายกรัฐมนตรี ชินโซ อาเบะ และประธานาธิบดี พัค กึน-ฮเย ได้มาพูดคุยกันซึ่งหน้าเป็นครั้งแรก
อย่างไรก็ดี เป็นที่น่าสังเกตว่า นายกฯญี่ปุ่นกับผู้นำหญิงแดนโสมขาวแทบจะไม่ได้ "มองหน้า" หรือ "ส่งยิ้ม" ให้กันตามประสาผู้นำประเทศที่มีความร่วมมือต่อกันเลย
ผู้นำสหรัฐฯ หวังใช้เวทีเจรจานี้ฟื้นความสัมพันธ์ระหว่างสองเพื่อนบ้านเอเชียที่เป็นพันธมิตรสำคัญของอเมริกา ตลอดจนกระตุ้นให้โตเกียวและโซลผนึกกำลังกันตอบสนองปัญหาความมั่นคงในภูมิภาคที่มีต้นตอจากจีนและเกาหลีเหนือ
หลังจากได้พูดคุยนอกรอบกับอาเบะ และพัค ระหว่างการประชุมซัมมิตความมั่นคงนิวเคลียร์ที่กรุงเฮก โอบามาได้ออกมาแถลงว่า สหรัฐฯ, ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ได้ร่วมมือกันสกัดกั้นภัยคุกคามที่เกิดจากความทะเยอทะยานอยากครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ของผู้นำคิม จองอึน แห่งเกาหลีเหนือ
“นี่เป็นครั้งแรกที่เราทั้ง 3 คนได้มีโอกาสพบกัน เพื่อหารือภัยคุกคามร้ายแรงที่เรากำลังเผชิญกันอยู่” โอบามา ซึ่งจะเดินทางเยือนญี่ปุ่นและเกาหลีใต้อย่างเป็นทางการในเดือนเมษายนนี้ กล่าว
พัค และ อาเบะ ซึ่งเดินทางไปยังกรุงเฮกเพื่อร่วมประชุมซัมมิตนิวเคลียร์ ย้ำถึงความจำเป็นที่ทั้งสองชาติจะต้องร่วมมือกันเพื่อสกัดกั้นภัยคุกคามนิวเคลียร์จากรัฐโสมแดง
“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา ความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างเราทั้ง 3 ประเทศช่วยให้เราประสบความสำเร็จในเกมที่ท้าทายกับเกาหลีเหนือ ความร่วมมือ 3 ฝ่ายนี้เป็นสัญญาณเตือนไปถึงเปียงยางว่า พฤติกรรมยั่วยุและคำขู่ของพวกเขาจะต้องเจอการผนึกกำลังตอบโต้อย่างแน่นอน” โอบามากล่าว
ผู้นำทั้ง 3 ชาติยังได้หารือเกี่ยวกับ “แนวทางเฉพาะเจาะจงที่จะกระชับความร่วมมือ” โดยเฉพาะความร่วมมือทางทหาร เช่น การซ้อมรบร่วม และระบบป้องกันขีปนาวุธ เป็นต้น
รัฐบาลญี่ปุ่นเตรียมจะเปิดเวทีหารือกับผู้นำระดับสูงของเกาหลีเหนือว่าด้วยโครงการนิวเคลียร์และขีปนาวุธของโสมแดงในสัปดาห์หน้า
“สถานการณ์ในเกาหลีเหนือที่ไม่แน่นอน และความจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่เราทั้ง 3 ประเทศจะต้องร่วมมือใกล้ชิดยิ่งขึ้น ทำให้การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับประธานาธิบดี โอบามา ในวันนี้เป็นโอกาสที่ดีมาก” อาเบะกล่าว
พลเมืองเกาหลีใต้ต่างโกรธแค้นที่ผู้นำญี่ปุ่นทุกยุคสมัยไม่เคยแสดงความสำนึกผิดอย่างจริงใจต่อความโหดร้ายที่ญี่ปุ่นเคยทำไว้กับเพื่อนบ้านในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยเฉพาะการเกณฑ์ผู้หญิงท้องถิ่นไปเป็นโสเภณีบำเรอกามทหาร นอกจากนี้ยังมีประเด็นเรื่องหมู่เกาะพิพาท "ด็อกโด" หรือ "ทาเกชิมะ" ที่ทำให้รัฐบาลทั้งสองชาติมองหน้ากันไม่ติด
“ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องท้าทายเสมอ... ต้องขอบคุณโอบามาที่ทำให้ผมได้มาแลกแปลี่ยนความคิดเห็นกับเขาและพัคอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงในเอเชียตะวันออก” อาเบะกล่าว
ตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นในปี 2012 อาเบะก็หาโอกาสที่จะพบปะผู้นำหญิงแห่งเกาหลีใต้มาตลอด ทว่าปัญหาทางประวัติศาสตร์ก็เป็นอุปสรรคใหญ่ที่ทำให้แนวทางของเขายังดู “เงอะงะ”
“การประชุมครั้งนี้เป็นผลมาจากความพยายามของสหรัฐฯ ที่จะสร้างกลไกให้ อาเบะ และ พัค ต้องโคจรมาพบกันจนได้” จอห์น สเวนสัน-ไรท์ นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยด้านกิจการต่างประเทศ แชตแฮม เฮาส์ (Chatham House) ให้ความเห็น
ท่าทีของอาเบะ เช่น การไปเยือนศาลวีรชนสงครามซึ่งเป็นสถานที่สักการะดวงวิญญาณอดีตผู้นำและนายพลญี่ปุ่นที่ถูกตราหน้าเป็น “อาชญากรสงคราม” ก็เป็นสาเหตุสำคัญที่กระตุ้นให้ความบาดหมางกับเกาหลีใต้ทวีความรุนแรงขึ้น