เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - สำนักข่าว “อาร์ไอเอ โนวอสติ” สื่อดังที่อยู่ในความควบคุมของรัฐบาลรัสเซียรายงานว่า ชาวไครเมียร้อยละ 93 ออกเสียงประชามติในวันอาทิตย์ (16) หนุนการแยกสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียออกจากยูเครน และเข้าร่วมกับรัสเซีย ท่ามกลางรายงานข่าวที่ระบุ ผู้มีสิทธิออกเสียงชาวไครเมียออกมาใช้สิทธิในการลงประชามติครั้งประวัติศาสตร์นี้สูงเกินกว่าร้อยละ 80
ด้านรัฐบาลยูเครนภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีอาร์เซนี ยัตเซนยุค ออกคำแถลงที่กรุงเคียฟกล่าวหารัสเซียว่ากระทำการสร้างเสริมกำลังทหารในทะเลดำและคาบสมุทรไครเมียซึ่งเข้าข่ายละเมิดกฏหมายระหว่างประเทศและคุกคามอธิปไตยของยูเครน โดยคำแถลงที่มีการเผยแพร่ที่กรุงเคียฟยังระบุด้วยว่า ยูเครนเตรียมติดอาวุธและฝึกสมาชิกกว่า 20,000 คนของกองกำลัง “เนชันแนล การ์ด” ที่เพิ่งตั้งขึ้นใหม่เพื่อปกป้องประเทศจากการรุกราน
อิกอร์ เทนยุคห์ รักษาการรัฐมนตรีกลาโหมยูเครน เผยว่า ขณะนี้กำลังทหารของรัสเซียที่ถูกส่งเข้ามายังไครเมีย และพื้นที่โดยรอบทะเลดำได้เพิ่มจำนวนเป็นมากกว่า 12,500 นายแล้ว ซึ่งสูงกว่าข้อตกลงทวิภาคีด้านความมั่นคงที่รัสเซียและยูเครนเคยทำไว้ต่อกันเมื่อปี 1991 และเป็นการแสดงเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ของรัฐบาลมอสโก
ขณะที่จอห์น เคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า รัฐบาลวอชิงตันจะไม่ยอมรับผลการลงประชามติในไครเมีย ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดนที่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นผู้ใช้ภาษารัสเซียออกจากยูเครน และเข้าไปผนวกเป็นส่วนหนึ่งกับแดนหมีขาว ด้านทำเนียบขาวออกโรงเตือนมอสโกให้เตรียมรับมาตรการคว่ำบาตรจากนานาชาติ หากยังไม่ยุติพฤติกรรมแทรกแซงกิจการภายในของยูเครน และไม่ยอมยุติการแบ่งแยกไครเมีย
อย่างไรก็ดี ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ตอบโต้ข้อกล่าวหาของตะวันตกโดยย้ำว่าการจัดลงประชามติของชาวไครเมียมีความชอบธรรมตามกฎหมาย และเป็นการสะท้อนความต้องการที่แท้จริงของชาวไครเมีย พร้อมยืนยันว่ารัสเซียจะเคารพต่อผลการลงประชามติครั้งนี้
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ปูตินได้ต่อโทรศัพท์สายตรงถึงนางอังเกลา แมร์เคิล นายกรัฐมนตรีเยอรมนีในวันอาทิตย์ (16) โดยย้ำว่าการลงประชามติในไครเมียเป็นสิ่งที่ชอบธรรมและสอดคล้องกับบทบัญญัตมาตราที่ 1 ในกฎบัตรสหประชาชาติ ที่ระบุว่าประชาชนมีสิทธิ์เลือกแนวทางที่เหมาะสมสำหรับอนาคตของดินแดนที่ตนอาศัย
