รอยเตอร์/เอเจนซีส์ – คนต่างด้าวราว 200 คน ที่ตำรวจไทยช่วยเหลือนำตัวออกมาจากค่ายพักของแก๊งค้ามนุษย์ในสวนยางพารากลางป่าบริเวณภูเขาของจังหวัดสงขลา ทางภาคใต้ของไทย เมื่อสองสามวันก่อน น่าจะเป็นชาวมุสลิมอุยกูร์ จากเขตซินเจียง (ซินเกียง) ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีน แหล่งข่าวที่เป็นตำรวจไทยหลายรายเปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์ในวันนี้ (14 มี.ค.)
การพบตัวคนต่างด้าวเหล่านี้ เป็นหลักฐานยืนยันแน่นหนายิ่งขึ้นอีกว่า พวกแก๊งค้ามนุษย์ที่ปฏิบัติการอยู่ในบริเวณภาคใต้ของไทย ซึ่งขึ้นชื่อเลื่องลือในฐานะเป็นศูนย์กลางสำคัญแห่งหนึ่ง ในเส้นทางการลักลอบนำชาวโรฮิงญาจากพม่า ลงเรือไปหาที่อพยพลี้ภัยในต่างแดนอยู่แล้ว กำลังใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของพวกเขา เพื่อการลับลอบลำเลียงขนคนต่างด้าวสัญชาติอื่นๆ เป็นจำนวนมากๆ อีกด้วย ถึงแม้ถูกตำรวจไทยติดตามปราบปรามเรื่อยมา
“พวกแก๊งค้ามนุษย์กำลังขยายผลิตภัณฑ์ของพวกเขาให้กว้างขวางขึ้นกว่าเดิม” พล.ต.ต.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้บังคับการของกองบังคับการตรวจคนเข้าเมืองซึ่งดูแลพื้นที่แถบนี้กล่าว พล.ต.ต.ธัชชัย ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากสหรัฐฯ ได้ดำเนินการกวาดล้างค่ายของพวกแก๊งค้ามนุษย์ในภาคใต้มาหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งครั้งที่นำตัวคนต่างด้าวซึ่งสงสัยว่าน่าจะเป็นชาวอุยกูร์จำนวนราว 200 คนออกมาได้เมื่อคืนวันพุธ (12 มี.ค.) ที่ผ่านมาด้วย
ในการกวาดล้างจับกุม 2 ครั้งก่อนหน้านี้เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา สามารถช่วยเหลือนำตัวคนต่างด้าวออกไปได้ทั้งสิ้น 636 คน โดยที่มีอย่างน้อยที่สุด 200 คนเป็นชาวบังกาเทศ ซึ่ง พล.ต.ต.ธัชชัย ชี้ว่า เป็นจำนวนสูงอย่างที่ “ไม่เคยปรากฏมาก่อน”
สำหรับคนต่างด้าวอื่นๆ นั้นเป็นชาวโรฮิงญา ชาวมุสลิมที่เกือบทั้งหมดอยู่ในฐานะคนไร้รัฐจากภาคตะวันตกของพม่า ซึ่งได้เกิดเหตุปะทะถึงชีวิตหลายระลอกกับชาวพุทธเชื้อชาติยะไข่ในปี 2012 จนมีผู้เสียชีวิตไปอย่างน้อย 192 คน และมีผู้ที่หลบหนีกลายเป็นคนไร้ที่อยู่อีกราวๆ 140,000 คน ตั้งแต่นั้นมา ก็มีชาวโรฮิงญาจำนวนหมื่นๆ คนหลบหนีออกจากพม่าทางเรือ โดยที่จำนวนมากเดินทางมาขึ้นบกบริเวณชายฝั่งตะวันตกของภาคใต้ของไทย ด้วยความหวังที่จะหาวิธีเดินทางต่อไปยังจุดหมายปลายทางที่พึงประสงค์
เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์ได้เสนอรายงานว่า มีชาวโรฮิงญาถูกจับกุมเรียกค่าไถ่ โดยพวกเขาถูกจองจำอยู่ในค่ายพักผิดกฎหมายที่ตั้งซุกซ่อนอยู่ใกล้ๆ บริเวณชายแดนติดต่อกับมาเลเซีย จนกว่าญาติๆ จะจ่ายเงินตามที่คนร้ายเรียกร้องจึงจะได้เป็นอิสระ ทั้งนี้มีบางคนถูกทุบตีและบางคนก็ถูกฆ่า ในการสืบสวนติดตามของรอยเตอร์ยังพบด้วยว่า พวกเจ้าหน้าที่รับผิดชอบของไทยได้ดำเนินนโยบายลับๆ ซึ่งมุ่งผลักดันพวกผู้ต้องขังชาวโรฮิงญาให้ออกเดินทางต่อไปทางทะเล และกลับคืนสู่อุ้งมือของพวกแก๊งค้ามนุษย์ สืบเนื่องจากสถานที่กักขังของตำรวจตรวจค้นเข้าเมืองเต็มล้นแล้ว ขณะที่ยังมีคนต่างด้าวหน้าใหม่ๆ ทยอยเข้ามาอีกไม่ขาดสาย
สำหรับผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอุยกูร์ราว 200 คนล่าสุดนี้ ตำรวจพบเมื่อคืนวันพุธในสวนยางพารากลางป่าเขา บริเวณเดียวกับที่สำนักข่าวรอยเตอร์เคยเสนอรายงานข่าวเมื่อปีที่แล้วระบุว่ามีค่ายพักอยู่อย่างน้อย 3 แห่งซึ่งพวกแก๊งค้ามนุษย์ที่ลักลอบขนชาวโรฮิงญา ได้อาศัยใช้สอยอยู่ ขณะที่ พล.ต.ต.ธัชชัย แถลงว่า ตอนที่ตำรวจบุกเข้าไปนั้น พวกยามเฝ้าค่ายได้หลบหนีไปแล้ว
สำหรับผู้ที่ได้รับการช่วยเหลือออกมาจากค่ายแห่งนี้ มีอย่างน้อย 100 คนเป็นเด็ก แทบทั้งหมดอยู่ในวัยทารกหรือกระทั่งอยู่ในวัยที่ยังต้องดูดนมมารดา รวมทั้งยังมีผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์อยู่คนหนึ่งด้วย พวกเขาเหล่านี้เวลานี้อาศัยนั่งบนเสื่อพลาสติกในบริเวณที่จอดรถของกองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 6 ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เนื่องจากศูนย์กักขังผู้เข้าเมืองผิดกฎหมายของตำรวจที่อยู่ใกล้ที่สุดนั้นเต็มไปด้วยชาวโรฮิงญาและชาวบังกลาเทศ จนไม่สามารถให้ผู้ที่ถูกนำตัวออกมาใหม่เหล่านี้พักอาศัยได้แล้ว ตำรวจบอกว่าคนกลุ่มนี้อ้างว่าพวกเขาเป็นชาวตุรกี ถึงแม้ไม่มีหลักฐานใดๆ มาใช้พิสูจน์ยืนยัน
แหล่งข่าวตำรวจหลายรายบอกว่า กลุ่มซึ่งอาศัยอยู่ที่หาดใหญ่นี้ มีความคล้ายคลึงเป็นอย่างยิ่งกับชาวอุยกูร์พูดภาษาเตอร์กิก ซึ่งเป็นพวกที่ร้องขอฐานะเป็นผู้ลี้ภัย และเวลานี้ถูกกักขังอยู่ในศูนย์ที่กรุงเทพฯ
ทางด้านหนังสือพิมพ์นิวสเตรทไทมส์ของมาเลเซีย ได้รายงานข่าวชิ้นหนึ่งซึ่งเป็นไปได้สูงว่ามีความเกี่ยวข้องกับคนต่างด้าวเหล่านี้ กล่าวคือ ตำรวจมาเลเซียได้จับกุมบุคคล 62 คนที่แอบข้ามชายแดนระหว่างไทยกับมาเลเซียอย่างผิดกฎหมายเมื่อวันพฤหัสบดี (13 มี.ค.) ที่ผ่านมา พวกที่ถูกจับเหล่านี้ก็อ้างตัวว่าเป็นชาวตุรกี ถึงแม้เป็นเรื่องผิดปกติมากที่จะมีชาวตุรกีหาทางลี้ภัยโดยใช้วิธีการเช่นนี้
สำหรับซินเจียง ซึ่งเป็นเขตปกครองตนเองฐานะเทียบเท่ามณฑลของจีนนั้น ได้เกิดความไม่สงบทางชาติพันธุ์ซึ่งมีผู้ถูกฆ่าตายไปมากกว่า 100 คนในรอบปีที่ผ่านมา และทางการจีนก็เร่งรัดปราบปราม ชาวอุยกูร์จำนวนมากในซินเจียง แสดงความโกรธแค้นที่ถูกจำกัดสิทธิในเรื่องวัฒนธรรมและศาสนาของพวกเขา อีกทั้งร้องเรียนว่าพวกเขาถูกปฏิเสธโอกาสทางเศรษฐกิจ ในขณะที่มีชาวจีนฮั่น ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของแดนมังกร อพยพหลั่งไหลเข้าไปตั้งถิ่นฐานในซินเจียง ทั้งนี้ชาวอุยกูร์จำนวนมากเรียกซินเจียงว่าเป็น เตอร์กิสถานตะวันออก และในยุคทศวรรษ 1930 และ 1940 ก็มีความพยายามที่จะจัดตั้งสาธารณรัฐเตอร์กิสถานตะวันออกขึ้นมารวม 2 ครั้ง ทว่าต่างก็อยู่ได้ไม่นาน
ยังคงปิดปากเงียบ
ตำรวจไทยเวลานี้ยังคงประสบความลำบากในการระบุให้ชัดเจนเป็นทางการว่า กลุ่มซึ่งถูกนำตัวมากักกันที่หาดใหญ่นี้เป็นพวกไหนกันแน่ จวบจนถึงเวลานี้ คนเหล่านี้ยังไม่มีใครพูดอะไรมากไปกว่าภาษาอาหรับไม่กี่คำ แม้กระทั่งในเวลาพูดจากับชาวไทยมุสลิมท้องถิ่นซึ่งเดินทางมาอาสาให้ความช่วยเหลือ
ความนิ่งเงียบของพวกเขามีอันขาดผึงลงไปบ้างก็เพียงจากเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของเด็กๆ พวกเขาเหล่านี้ทั้งหมดมีลักษณะหน้าตาแบบคนคอเคเชียนอยู่มาก ขณะที่พวกผู้หญิงจำนวนมากต่างสวมผ้าคลุมศีรษะและใบหน้า มองเห็นเพียงลูกตาเท่านั้น
“คนเหล่านี้จะปฏิเสธไม่ยอมรับว่าพวกตนเป็นพลเมืองจีน เพื่อไม่ให้ถูกบังคับนำตัวกลับไป” คายุม มาซิมอฟ นายกสมาคมชาวแคนาดาอุยกูร์ ซึ่งตั้งสำนักงานอยู่ที่เมืองมอนทรีออล บอก “พวกเขาจะไม่ยอมพูดอะไรทั้งนั้น เพราะพวกเขาหวาดกลัวว่าจะไม่ปลอดภัย”
มาซิมอฟ ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับชายผู้หนึ่งซึ่งถูกตำรวจระบุตัวว่าเป็นหัวหน้าของคนกลุ่มนี้ และมาชินอฟกล่าวว่า ชายผู้นี้เข้าใจภาษาอุยกูร์ ซึ่งเป็นภาษาในตระกูลเตอร์กิก เมื่อผู้สื่อข่าวรอยเตอร์พยายามเข้าไปติดต่อสื่อสารกับคนกลุ่มนี้ หัวหน้าผู้นี้ก็แสดงอากัปกิริยาบอกให้คนของเขาอย่าพูดจาอะไรด้วย
“หัวหน้าคนนี้เป็นคนตัดสินว่าใครที่ควรพูดด้วยและใครที่ไม่ควรพูดด้วย” พล.ต.ต.ชัชชัย บอก
มาซิมอฟบอกว่า พวกที่อยู่ในไทย 200 คนนี้ น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของชาวอุยกูร์จากภาคตะวันตกของจีน ที่กำลังอพยพทิ้งถิ่นที่อยู่เดิมอย่างชนิด “ไม่เคยปรากฏมาก่อน” ในระยะไม่กี่ปีหลังๆ นี้ “เราไม่เคยมีผู้คนมากมายขนาดนี้ทอดทิ้งบ้านเกิดของพวกเราไป” เขากล่าว
ตำรวจไทยกล่าวด้วยว่า มีนักการทูตจีนผู้หนึ่งเดินทางมาถึงแล้วเพื่อประเมินสถานการณ์ ขณะที่มีเจ้าหน้าที่ตุรกีหลายคนกำลังเดินทางมาจากกรุงเทพฯเช่นกัน
พล.ต.ต.ชัชชัย เปิดเผยว่า มีแผนการที่จะย้ายเอาผู้หญิงและเด็กๆ จากลานจอดรถ ไปอยู่ที่ห้องประชุมภายในกองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง โดยที่ผู้ต้องสงสัยเป็นชาวอุยกูร์เหล่านี้จำนวนมากทีเดียวกำลังแสดงอาการหมดความอดทนมากขึ้นเรื่อยๆ “พวกเขากำลังตกอยู่ใต้แรงกดดันบีบคั้น” นายตำรวจไทยผู้นี้บอก “พวกเขาต้องการเดินทางไปที่ไหนสักแห่งหนึ่ง แต่ขณะเดียวกันพวกเขาก็ไม่ต้องการกลับไปจีน”
ทั้งนี้เมื่อปี 2009 มีชาวอุยกูร์ 20 คนถูกเนรเทศจากกัมพูชากลับไปจีน ถึงแม้มีเสียงคัดค้านจากหน่วยงานสหประชาชาติและกลุ่มสิทธิมนุษยชน ซึ่งบอกว่าพวกเขามีหวังถูกขังคุกยาวถ้าหากกลับไป
ช่วงใกล้ๆ เข้ามา องค์การฮิวแมน ไรต์ วอตช์ ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นิวยอร์ก ก็วิพากษ์วิจารณ์มาเลเซียที่เนรเทศชาวอุยกูร์ 6 คนกลับไปจีนเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
สำหรับในไทยนั้น เวลานี้มีชาวอุยกูร์ทั้งชาย, หญิง และเด็ก อย่างน้อยที่สุด 100 คน ถูกกักขังอยู่ที่ศูนย์กักขังคนเข้าเมืองผิดกฎหมายแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ คนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของผู้หลบหนีเข้าประเทศไทยอย่างผิดกฎหมายซึ่งยังมีจำนวนไม่มากและกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ที่สุดน่าจะเดินทางเข้าสู่ไทยโดยทางบกจากภาคตะวันตกเฉียงใต้ของจีน ผ่านดินแดนลาว
ทางด้านหน่วยงานในไทยของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอชซีอาร์) บอกว่าไม่ขอยืนยันว่าพวกที่ถูกกักตัวอยู่ที่หาดใหญ่นั้นเป็นพวกไหนแน่ๆ
“เราเข้าใจว่ามีคนกลุ่มใหญ่ได้รับการช่วยเหลือออกมาหลังจากการกวาดล้างค่ายพักของพวกแก๊งค้ามนุษย์ (ในประเทศไทย)” บาบาร์ บาโลจ โฆษกของยูเอ็นเอชซีอาร์ในไทย แถลง “เรามีคณะทำงานอยู่ที่นั่นเพื่อประเมินความต้องการเร่งด่วนทางด้านมนุษยธรรมของพวกเขา และความจำเป็นต่างๆ ในการปกป้องคุ้มครองพวกเขาแล้ว”
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันว่า มาเลเซีย ซึ่งเป็นชาติมุสลิมที่ขาดแคลนแรงงานอย่างเรื้อรัง มักถูกเลือกเป็นจุดหมายปลายทางสุดท้ายของผู้อพยพและผู้ต้องการหาที่ลี้ภัยชาวเอเชียมากขึ้นเรื่อยๆ ทว่าคนเหล่านี้เองก็กำลังตกเป็นเหยื่อของพวกแก๊งค้ามนุษย์
กลุ่มคนต่างด้าวซึ่งสงสัยว่าจะเป็นชาวอุยกูร์จากเขตซินเจียงของจีน ขณะถูกกักตัวอยู่ที่บริเวณลานจอดรถของกองบังคับการตำรวจตรวจคนเข้าเมือง 6 อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ในวันศุกร์ (14 มี.ค.)