เอเจนซีส์ – กองทัพเรือสหรัฐฯ มีคำสั่งส่งเรือพิฆาตข้ามฝั่งมายังมหาสมุทรอินเดียเพื่อตามหาเครื่องบินโดยสารของมาเลเซียแอร์ไลน์ส ขณะที่มีกระแสข่าวใหม่ว่าดาวเทียมสามารถจับสัญญาณ “Ping” จากเครื่องบินได้ หลังจากที่เรดาร์ติดต่อภาคพื้นดินขาดหายไปแล้ว
ปฏิบัติการค้นหาเที่ยวบิน MH370 ที่หายไปตั้งแต่เมื่อกลางดึกวันเสาร์ที่ผ่านมา (8) เริ่มเบนความสนใจออกจากทะเลจีนใต้ หลังทำเนียบขาวระบุว่ามี “ข้อมูลใหม่” ที่บ่งชี้ว่าเครื่องบินอาจตกบริเวณมหาสมุทรอินเดีย
“เรือพิฆาต ยูเอสเอส คิดด์ กำลังเดินทางผ่านช่องแคบมะละกาไปยังมหาสมุทรอินเดีย” เจ้าหน้าที่กองทัพเรือสหรัฐฯบอกกับเอเอฟพี โดยอ้างถึงเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีซึ่งประจำการอยู่ในอ่าวไทย
สหรัฐฯยังเตรียมส่งเครื่องบินสอดแนม พี-8 โพไซดอน ไปยังพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ได้ส่งเครื่องบินปราบเรือดำน้ำ พี-3 โอไรออน เข้าไปช่วยทางการมาเลเซียค้นหาโบอิ้งที่สูญหายไปแล้ว
คำสั่งดังกล่าวมีขึ้นหลังสื่อในสหรัฐฯเผยรายงานที่ว่า ระบบสื่อสารของ โบอิ้ง 777-200ER ลำนี้ถูกดาวเทียมดวงหนึ่งจับสัญญาณได้อยู่นานหลายชั่วโมง ภายหลังจากที่เครื่องบินหายไปจากจอเรดาร์พลเรือนแล้ว
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นัล และสำนักข่าวเอบีซี รายงานว่า สัญญาณที่ว่านี้มาจาก “ระบบบริหารจัดการเครื่องบิน” (airplane health management system) ซึ่งจะส่งข้อมูลเกี่ยวกับการทำงานของเครื่อง
วอลล์สตรีทยังออกมาแก้ข่าวที่ได้รายงานคลาดเคลื่อนไปตอนแรกว่า พนักงานสอบสวนกำลังตรวจสอบสัญญาณที่ถูกส่งมาจากเครื่องยนต์โรลส์รอยซ์ ซึ่งไม่ถูกต้อง
สำนักข่าวเอบีซีได้อ้างแหล่งข่าว 2 คน ซึ่งเปิดเผยว่า เวลานี้พนักงานสอบสวนเชื่อว่าระบบส่งข้อมูลบนเครื่องบิน MH370 และเครื่อง transponder ซึ่งจะแจ้งตำแหน่งของเครื่องบิน หยุดทำงานไม่พร้อมกัน ซึ่งการที่อุปกรณ์ทั้ง 2 ชนิดปิดตัวห่างกันราวๆ 14 นาที บ่งบอกว่ามีใครบางคน “จงใจ” ปิดมัน หรืออย่างน้อยก็ไม่ได้หยุดทำงาน เพราะหายนะที่เกิดกับลำตัวเครื่องบินอย่างรุนแรงเพียงครั้งเดียว
ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์ก็อ้างแหล่งข่าวใกล้ชิดกระบวนการสอบสวน 2 คน ซึ่งให้ข้อมูลวานนี้ (13) ว่า ดาวเทียมยังสามารถจับสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์อ่อนๆ จากเครื่องบินได้ หลังจากที่มันหายไปจากจอเรดาร์ของเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศ ทว่าสัญญาณเหล่านั้นไม่สามารถบอกได้ว่าเครื่องบินกำลังมุ่งหน้าไปในทิศทางใด หรือเกิดอะไรขึ้นบนเครื่อง
อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่จับได้ก็บ่งชี้ว่าระบบแก้ไขปัญหาอัตโนมัติบนเครื่องบินยังถูกเปิดใช้งานอยู่ และพร้อมที่จะสื่อสารกับดาวเทียม และแสดงให้เห็นว่าอย่างน้อยเครื่องบินลำนี้ก็ยังสามารถสื่อสารได้ แม้จะขาดการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ควบคุมการจราจรทางอากาศไปแล้วก็ตาม
แหล่งข่าวเผยว่า อุปกรณ์บนเครื่องบินตัวนี้ส่งสัญญาณประมาณ 1 ครั้งต่อชั่วโมง ซึ่งดาวเทียมสามารถจับได้ประมาณ 5-6 ครั้ง แต่ลำพังสัญญาณนี้ไม่สามารถบอกได้ว่าเครื่องบินอยู่บนท้องฟ้า หรือลงสู่พื้นดินแล้ว
มาเลเซียแอร์ไลน์ส เที่ยวบิน MH370 ซึ่งมีผู้โดยสารและลูกเรือบนเครื่อง 239 คน เดินทางออกจากกรุงกัวลาลัมเปอร์เมื่อเกือบ 1 สัปดาห์ที่แล้ว เพื่อไปยังจุดหมายปลายทางกรุงปักกิ่ง ทว่าเครื่องบินกลับสูญหายไปจากจอเรดาร์ขณะบินข้ามอ่าวไทย
จากความเป็นไปได้ที่ว่าเครื่องบินอาจลอยลำอยู่กลางอากาศอีกนานหลายชั่วโมงหลังสัญญาณเรดาร์ขาดหาย ทำให้เกิดทฤษฎีใหม่ๆ เกี่ยวกับชะตากรรมของเครื่องบินโดยสารลำนี้ และยิ่งทำให้การสูญหายของมันเป็นปริศนาคาใจชาวโลกมากขึ้นไปอีก
ในช่วงแรกๆ ทีมค้นหานานาชาติมุ่งควานหาซากเครื่องบินในทะเลฝั่งตะวันออกของมาเลเซียเป็นหลัก เนื่องจากอยู่ในเส้นทางบินตามปกติของเที่ยวบินนี้ ทว่าล่าสุดทำเนียบขาวกลับอ้าง “ข้อมูลใหม่” ที่ทำให้ทุกหน่วยงานต้องมุ่งความสนใจไปยังมหาสมุทรอินเดีย
“นี่เป็นความเข้าใจที่ผมได้จากข้อมูลใหม่ ซึ่งอาจจะไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอน แต่ก็ควรจะมีการส่งทีมค้นหาเข้าไปยังมหาสมุทรอินเดียด้วย” เจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาวระบุ โดยไม่ชี้แจงว่าข้อมูลใหม่ที่ว่านั้นคืออะไร
“เรากำลังปรึกษาหุ้นส่วนนานาชาติว่าควรจะส่งยานพาหนะหรือเครื่องไม้เครื่องมืออะไรเข้าไปบ้าง”
ก่อนหน้านี้ ทางการมาเลเซียให้ข้อมูลว่าเครื่องบินอาจหันหัวกลับมายังกรุงกัวลาลัมเปอร์อีกครั้งก่อนจะหายสาบสูญไป
เรือพิฆาต ยูเอสเอส พิงก์นีย์ ยังคงประจำการอยู่ในอ่าวไทย แต่ไม่แน่ชัดว่ามันจะยังร่วมปฏิบัติการค้นหาเครื่องบินมาเลเซียแอร์ไลน์สหลังจากสัปดาห์นี้ผ่านพ้นไปหรือไม่
เจ้าหน้าที่สหรัฐฯเผยเมื่อวันพุธ (12) ว่า ดาวเทียมสอดแนมของกองทัพสหรัฐฯตรวจไม่พบร่องรอยของการระเบิดกลางอากาศ ในขณะที่เครื่องบิน MH370 หายไปจากจอเรดาร์เมื่อเวลา 1.30 น.ตามเวลามาเลเซีย