เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ข้อมูลล่าสุดชี้ “วอร์เร็น บัฟเฟตต์” นักลงทุนชื่อก้องโลก มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 2.06 ล้านล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นมากกว่ารายงานของนิตยสาร “ฟอร์บส์” ที่เพิ่งมีการเผยแพร่ไปเมื่อวันที่ 3 มีนาคมที่ผ่านมาถึง 9.5 เปอร์เซ็นต์ สาเหตุสำคัญมาจากผลกำไรมหาศาลที่ได้จากการลงทุนใน “ตลาดหุ้น”
รายงานข่าวล่าสุดยืนยัน มูลค่าทรัพย์สินของบัฟเฟตต์เมื่อนับถึงวันพุธ (12 มี.ค.) ได้เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 63,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐแล้ว หรือคิดเป็นเงินไทยราว 2.06 ล้านล้านบาท
มูลค่าทรัพย์สินของบัฟเฟตต์ล่าสุดที่มีอยู่กว่า 2.06 ล้านล้านบาทนี้ ถือเป็นตัวเลขทรัพย์สินที่สูงกว่ารายงานของนิตยสารฟอร์บส์ ถึง 9.5 เปอร์เซ็นต์ หลังจากที่การลงทุนของบัฟเฟตต์ในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ตลอดระยะเวลาเกือบ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จด้วยดีและให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ จนส่งผลให้ทรัพย์สินของบัฟเฟตต์เพิ่มพูนขึ้นอย่างสำคัญภายในระยะเวลา “เพียง 10 วัน” นับจากที่รายงานของฟอร์บส์ถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน
นักวิเคราะห์ระบุว่า ในความเป็นจริงแล้ว วอร์เร็น บัฟเฟตต์ สามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องจากการเก็งกำไรหุ้นในตลาดเมืองลุงแซมตลอด “ครึ่งหลังของปี 2013” ที่ผ่านมา และเป็นที่เชื่อกันว่าเคล็ดลับความสำเร็จของบัฟเฟตต์อยู่ที่การเลือกลงทุนกับหุ้นในหมวดหมู่ที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และหลีกเลี่ยงการลงทุนใน “หุ้นกลุ่มเสี่ยง” ที่ง่ายต่อการผันผวน
ความเคลื่อนไหวล่าสุดที่ระบุว่า บัฟเฟตต์ ร่ำรวยเพิ่มขึ้นถึง 9.5 เปอร์เซ็นต์ ภายในระยะเวลาเพียง 10 วัน นับจากที่มีการเผยแพร่รายงานของนิตยสารฟอร์บส์มีขึ้นหลังจากที่มีการยืนยันว่า “เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์” บริษัทด้านการลงทุนของเขา สามารถทำผลกำไรได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2013 ที่ผ่านมา
โดยรายงานข่าวระบุ เบิร์กไชร์ แฮธาเวย์ของบัฟเฟตต์วัย 83 ปี มีกำไรในปี 2013 สูงถึง 19,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 633,360 ล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากผลกำไร 14,800 ล้านดอลลาร์ (ราว 480,700 ล้านบาท) ในปี 2012 หรือคิดเป็นสัดส่วนการเติบโตราว 18.2 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ บัฟเฟตต์ออกมายอมรับว่าหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้บริษัทของเขามีกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะความสำเร็จจากการลงทุนในหุ้นของกลุ่มธุรกิจพลังงาน ประกันภัย และบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการเดินรถไฟที่ได้รับอานิสงส์โดยตรงจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นเดียวกับการเข้าไปถือหุ้นเพิ่มเติมในบริษัทชื่อดังต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอเมริกัน เอ็กซ์เพรส, โคคาโคลา, ไอบีเอ็ม และเวลล์ส ฟาร์โก