รอยเตอร์ - ในวันอังคาร (11) ผู้พิพากษาศาลรัฐบาลกลางสหรัฐฯประกาศยึดทรัพย์ 14 วัน มาร์ก คาร์เพเลส ซีอีโอ Mt Gox บริษัทแลกเปลี่ยนเงินบิตคอย์นที่ประกาศล้มละลาย ที่มีอยู่ในสหรัฐฯ และอนุญาตให้เหยื่อผู้บริโภคที่ประสบชะตากรรมจากการปิดตัวของบริษัทแลกเปลี่ยนสกุลเงินบิตคอย์นยักษ์ใหญ่ของโลกนี้สามารถเรียกขอหลักฐานเพื่อพิสูจน์การฉ้อโกงครั้งมโหฬารนี้
ตลาดบิตคอย์นต้องระส่ำอย่างหนักในเดือนที่ผ่านมาหลังจากMt Gox บริษัทแลกเปลี่ยนเงินบิตคอย์นยักษ์ใหญ่ของโลก ประกาศล้มละลายต่อศาลในญี่ปุ่น และทางบริษัทเปิดตัวเลขขาดทุนเนื่องจากถูกโจรกรรมออนไลน์เนื่องจากปัญหาด้านความปลอดภัยของระบบ ที่มีร่วม 750,000 บิตคอยน์ หรือ 447 ล้านดอลลาร์
คำสั่งการยึดทรัพย์ของ มาร์ก คาร์เพเลส ซีอีโอ Mt Gox นั้นออกโดยผู้พิพากษา แกรี ไฟเนอร์แมน ในชิคาโก ซึ่งจะมีผลต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับ Mt Gox และ “ทิบาเนะ” บริษัทแม่ในญี่ปุ่น อ้างจาก คริสโตเฟอร์ ดอร์ ทนายความตัวแทนของเหยื่อผู้บริโภคการแลกเปลี่ยนบิตคอย์น
อย่างไรก็ตาม คำสั่งนี้ไม่ครอบคลุมไปถึงบริษัท Mt Gox KK ที่อยู่ในญี่ปุ่นซึ่งได้รับการคุ้มครองจากการฟ้องร้องเนื่องจากผลของการยื่นขอล้มละลายในญี่ปุ่นและสหรัฐฯตามลำดับ
ก่อนหน้านี้ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2014 บริษัท Mt Gox ได้ระงับการทำธุรกรรมบนโลกออนไลน์ ส่งผลให้ลูกค้าของบริษัทไม่สามารถถอนเงินจากบัญชีได้
ซึ่งดอร์ที่เป็นทนายของ เกรกอรี กรีน ชาวอิลินอยส์ ได้ยื่นฟ้องต่อศาลในสิ่งที่เชื่อว่าเป็นการฉ้อโกงระดับหลายร้อยล้านดอลลาร์ ซึ่งทางบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นได้อ้างเหตุปิดบริษัทจากการโดนแฮกข้อมูลทางคอมพิวเตอร์ที่สามารถทำให้เปลี่ยนตัวเลขการโอนเงินและเคลื่อนย้ายเงินได้
“สิ่งสำคัญที่สุดต้องการทราบว่าเกิดอะไรขึ้น และเกิดขึ้นได้อย่างไรในเหตุการณ์สูญเงินครั้งมโหฬารผ่านเว็บไซต์นี้” ดอร์กล่าว
บิตคอย์นถูกซื้อและขายบนเครือข่ายอิสระที่เป็นแบบเพียร์-ทู-เพียร์ ซึ่งมีอัตราแลกเปลี่ยนที่สูงลิ่วในปีที่ผ่านมา และมูลค่ารวมของบิตคอย์นที่หมุนเวียนอยู่ในตลาดขณะนี้มีราว 7 พันล้านดอลลาร์
ในวันอังคาร (11) นักลงทุนได้รับการเตือน ไม่ควรเสี่ยงในการกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนบิตคอย์น ซึ่งอาจตกเป็นเหยื่อของความเสี่ยงที่จะสูญเงินจากการโดนขโมย ฉ้อโกง และความเสี่ยงที่จะสูญเงินก้อนจำนวนมหาศาล อ้างจากหน่วยงานกำกับภาคการเงินและการธนาคารของสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ดอร์ยังเปิดเผยว่าคำสั่งยึดทรัพย์ชั่วคราวนี้จะสิ้นสุดลงภายใน 14 วันเมื่อทุกฝ่ายกลับเข้าสู่ศาลเพื่อพิจารณาเห็นควรจะยืดระยะเวลาการยึดทรัพย์ต่อหรือไม่
