รอยเตอร์/เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซีย ประกาศกร้าวในวันอาทิตย์ (9) โดยย้ำความพยายามของรัฐสภาไครเมียที่ประกาศแผนจัดลงประมติเพื่อปูทางให้ดินแดนของตนกลายเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียนั้น เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ขณะที่ทำเนียบขาวยืนยันประธานาธิบดีบารัค โอบามา เตรียมพบหารือกับนายกรัฐมนตรียูเครน เพื่อหาทางยุติการแทรกแซงจากรัสเซีย
คำแถลงของทำเนียบประธานาธิบดีรัสเซียในวันอาทิตย์ (9) ระบุว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซียยืนยันว่าก้าวย่างของทางการไครเมียซึ่งมีอำนาจอันชอบธรรมในขณะนี้ ในการปกป้องผลประโยชน์ของประชากรบนคาบสมุทรไครเมีย สอดคล้องกับหลักกฎหมายระหว่างประเทศ
ท่าทีล่าสุดของผู้นำแดนหมีขาวมีขึ้นหลังจากที่รัฐสภาของสาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียที่เป็นส่วนหนึ่งของยูเครน แต่มีประชากรส่วนใหญ่เป็นพวกที่มีเชื้อสายรัสเซีย ออกมาประกาศว่า ไครเมียเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย และยืนยันจะเดินหน้าจัดลงประชามติในวันที่ 16 มีนาคมนี้เพื่อตอกย้ำจุดยืนดังกล่าวของตน
ด้านทำเนียบขาวสหรัฐฯ แถลงว่า ประธานาธิบดี บารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ มีกำหนดพบหารือกับนายกรัฐมนตรีอาร์เซนี ยัตเซนยุคของยูเครนในวันพุธ (12) นี้ที่กรุงวอชิงตัน ดี.ซี.เพื่อหาทางออกร่วมกันบนแนวทางสันติวิธีต่อวิกฤตในไครเมียและการเผชิญหน้ากับรัฐบาลรัสเซีย
ขณะเดียวกัน สเต๊ฟเฟ่น ไซเบิร์ต โฆษกรัฐบาลเยอรมนี ออกคำแถลงในวันอาทิตย์ (9) โดยระบุ นายกรัฐมนตรีหญิง อังเกลา แมร์เคิล ได้หารือทางโทรศัพท์กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิงของจีน และผู้นำทั้งสองต่างเห็นพ้องกันในประเด็นที่ว่าวิกฤตในยูเครน จะต้องได้รับการแก้ไขผ่านช่องทางการเจรจาและเวทีการทูต โดยที่ผู้นำจีนได้เสนอเพิ่มเติมว่า ทางออกใดๆ ต่อวิกฤตในยูเครนนั้น จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายระหว่างประเทศด้วย
ด้านสำนักข่าวอินเตอร์แฟกซ์รายงานว่า พาเวล โดโรคิน รองประธานคณะกรรมาธิการด้านอุตสาหกรรมของสภาดูมาหรือสภาผู้แทนราษฎรของรัสเซีย ออกมาเปิดเผยว่า รัฐบาลมอสโกพร้อมมอบความช่วยเหลือคิดเป็นมูลค่ามากกว่า 40,000 ล้านรูเบิล (ราว 35,430 ล้านบาท) แก่สาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมีย เพื่อสนับสนุนการพัฒนาด้านอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐานทางเศรษฐกิจในดินแดนดังกล่าวที่ต้องการแยกตัวจากยูเครนและเข้ารวมเป็นส่วนหนึ่งกับรัสเซีย
ทั้งนี้ รัสเซียมีผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจมหาศาลอยู่ในไครเมีย ซึ่งเมืองเซวาสโทโปลในสาธารณรัฐแห่งนี้ เป็นบ้านของ “กองเรือทะเลดำ” ของรัสเซียภายใต้ข้อตกลงด้านความมั่นคงที่ทำไว้จนถึงปี ค.ศ.2035 แลกเปลี่ยนกับการที่รัฐบาลมอสโกจะยอมจำหน่ายก๊าซธรรมชาติให้กับไครเมียด้วยการลดราคาพิเศษถึง 30 เปอร์เซ็นต์
