เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์-ผลสำรวจล่าสุดในสหรัฐฯ ชี้ เม็กซิโก ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ทางใต้ของเมืองลุงแซมกลายเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยม ที่บรรดาชาวอเมริกันผู้สละสัญชาติ เลือกเป็น “บ้านหลังใหม่” มากที่สุด
ผลสำรวจล่าสุดซึ่งจัดทำโดยสถาบันวิจัยพีว ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และใช้เวลาในการเก็บข้อมูลมานานกว่า 3 ปี ระบุว่าเม็กซิโกลายเป็นประเทศที่ได้รับความนิยมสูงสุด สำหรับเป็น “บ้านหลังใหม่” ของพลเมืองสหรัฐฯ ที่ตัดสินใจสละการถือครองสัญชาติอเมริกัน
ผลสำรวจพบว่า ขณะนี้มีชาวอเมริกันที่สละสัญชาติของตน และเดินทางเข้าไปตั้งรกรากอยู่ในเม็กซิโกมากกว่า 510,000 ราย ส่งผลให้ชาวอเมริกันมีสถานะเป็นหนึ่งใน “ผู้อพยพชาวต่างชาติ” กลุ่มใหญ่ที่สุดของเม็กซิโก
ทีมวิจัยของสถาบันดังกล่าวยังเปิดเผยว่า แคนาดา เปอร์โตริโก สหราชอาณาจักร และเยอรมนีเป็นจุดหมายปลายทางยอดนิยมที่มีชาวอเมริกันที่สละสัญชาติเดินทางเข้าไปอาศัยอยู่มากที่สุดรองจากเม็กซิโก โดยในแคนาดามีอดีตพลเมืองสหรัฐฯเดินทางเข้าไปมากกว่า 310,000 ราย ขณะที่เปอร์โตริโก สหราชอาณาจักรและเยอรมนี ก็มีตัวเลขอดีตพลเมืองอเมริกันเข้าไปอาศัยอยู่ 210,000 ราย , 190,000 ราย และ120,000 รายตามลำดับ
ก่อนหน้านี้รายงานข่าวซึ่งอ้างรายงานรายไตรมาสของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่มีหน้าที่รับผิดชอบในการตรวจสอบข้อมูลเรื่องสัญชาติในเมืองลุงแซมระบุว่า ในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปี 2013 ที่ผ่านมา มีชาวอเมริกันยื่นคำร้องขอสละการถือสัญชาติอเมริกันทั้งสิ้น 630 ราย
ขณะที่ตลอดทั้งปี 2013 พบว่า ยอดการยื่นขอสละสัญชาติมีสูงถึง 2,999 ราย ส่งผลให้ปีที่แล้วกลายเป็นปีที่มีชาวอเมริกันขอสละสัญชาติมากที่สุดนับตั้งแต่ที่มีการเก็บสถิติเป็นต้นมา
ข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ชี้ว่า ตัวเลขชาวอเมริกันที่ยื่นขอสละสัญชาติในปี 2013 ที่ 2,999 รายนั้น ทำลายสถิติเดิมของปี 2011 ที่มีผู้ขอสละสัญชาติอเมริกันจำนวน 1,781 คน และยังสูงกว่าจำนวนผู้สละสัญชาติ 932 คนของปี 2012 ถึง “221 เปอร์เซ็นต์”
รายงานรายไตรมาสของกระทรวงการคลังสหรัฐฯระบุว่า หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ชาวอเมริกันยื่นเรื่องขอสละการถือสัญชาติเพิ่มสูงขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราการจัดเก็บภาษีเงินได้ในสหรัฐฯ ที่มีอัตราสูงสุดถึง 39.6 เปอร์เซ็นต์ ทำให้ชาวอเมริกันโดยเฉพาะในกลุ่มที่ “มีฐานะ” จำนวนมากไม่ต้องการถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราสูงดังกล่าว และคนกลุ่มนี้ซึ่งส่วนใหญ่มีธุรกิจในต่างแดน มักเลือกที่จะสละสัญชาติอเมริกันและไปถือสัญชาติของประเทศอื่นๆที่มีอัตราการจัดเก็บภาษีรายได้ที่ต่ำกว่า หรือให้สิทธิพิเศษต่างๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมมากกว่า
ก่อนหน้านี้ นางแอนนา เม บูลล็อค หรือชื่อที่รู้จักกันในวงการเพลง คือ “ทินา เทอร์เนอร์” นักร้องแนวโซล-อาร์ แอนด์ บี ชื่อดังระดับตำนานในวัย 74 ปีได้ประกาศขอสละสัญชาติอเมริกันเมื่อเดือนมกราคมปีที่แล้ว และยื่นเรื่องขอเป็นพลเมืองสวิสกับรัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์แทน
ขณะเดียวกัน “เอดูอาร์โด ซาเวริน” ผู้ร่วมก่อตั้งเครือข่ายสังคมออนไลน์หมายเลขหนึ่งของโลกอย่าง “เฟซบุ๊ก” ได้ประกาศสละการถือสัญชาติอเมริกันเมื่อเดือนกันยายนปี 2011 และหันไปยื่นเรื่องขอถือสัญชาติสิงคโปร์
โดยการสละสัญชาติของซาเวรินมีขึ้นหลังจากที่รัฐบาลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีลี เซียน ลุง แห่งสิงคโปร์ ประกาศจะให้สิทธิพิเศษด้านภาษีและการลงทุนกับเขา ท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตของหลายฝ่ายว่า การตัดสินใจสละสัญชาติอเมริกันของซาเวรินมีขึ้นก่อนที่เฟซบุ๊กจะเสนอขายหุ้นต่อสาธารณชนเพียงไม่นาน
จำนวนชาวอเมริกันโดยเฉพาะกลุ่มผู้มีชื่อเสียงและมีฐานะดีที่ขอสละสัญชาติอเมริกันซึ่งเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น ส่งผลให้เกิดความพยายามของสมาชิกสภาคองเกรสส์สหรัฐฯจำนวนหนึ่ง ในการเสนอร่างกฏหมายที่กำหนดให้มีการเก็บภาษีการออกนอกประเทศหรือ exit tax เพิ่มขึ้นอีก “เท่าตัว” สำหรับชาวอเมริกันคนใดก็ตามที่ขอสละสัญชาติของตัวเองด้วย “เหตุผลทางภาษี”
ทั้งนี้ สหรัฐอเมริกาถือเป็นประเทศเดียวในโลกที่มีการเรียกเก็บภาษีต่อพลเมืองของตนที่มิได้มีถิ่นพำนักในสหรัฐฯในอัตราและเงื่อนไขเดียวกับพลเมืองอเมริกันที่อาศัยอยู่ในประเทศ