เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- รถสปอร์ตหรู “เฮนเนสซี วีนอม จีที” จากสหรัฐฯ สร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นรถยนต์ที่สามารถวิ่งได้เร็วที่สุดในโลกโดยสามารถทำความเร็วได้ถึง 435.31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ทำลายสถิติเดิมของรถยนต์ “บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์ สปอร์ต” ของค่ายโฟล์คสวาเกนได้แบบฉิวเฉียด
รายงานข่าวระบุว่า รถสปอร์ตหรูเฮนเนสซีย์ วีนอม จีที ซึ่งถูกผลิตโดยบริษัท เฮนเนสซีย์ เฟอร์ฟอร์แมนซ์ เอ็นจิเนียริง ในมลรัฐเทกซัสของสหรัฐฯ และถูกผลิตออกมาแล้วเพียง 11 คันทั่วโลก สามารถทำความเร็วสูงสุดได้ถึง 435.31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระหว่างการทดสอบซึ่งจัดขึ้นภายในทางวิ่งของ “ศูนย์อวกาศเคนเนดี” ในมลรัฐฟลอริดา โดยมีนักขับมือโปรอย่าง “ไบรอัน สมิธ” อยู่หลังพวงมาลัย
การที่เจ้า เฮนเนสซีย์ วีนอม จีที สามารถทำความเร็วได้สูงถึง 435.31 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่งผลให้มันกลายเป็นรถที่ทำความเร็วได้สูงที่สุดของโลก ทำลายสถิติเดิมที่ 434.29 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ที่ทำเอาไว้โดยรถยนต์ บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์ สปอร์ต ที่อยู่ในเครือโฟล์คสวาเกน กรุ๊ป
อย่างไรก็ดี การทำสถิติใหม่ดังกล่าวยังมิได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจาก “กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดส์” เนื่องจากตามกฎแล้ว สถิติใหม่จะถูกรับรองก็ต่อเมื่อรถที่เข้ารับการทดสอบจะต้องแล่นเพื่อบันทึกเวลาถึง 2 รอบในทิศทางตรงข้ามกัน
แต่ทว่าสำนักงานบริหารอวกาศและการบินแห่งชาติของสหรัฐฯ หรือ “องค์การนาซา” ที่เป็นผู้ดูแลศูนย์อวกาศเคนเนดี ไม่อนุญาตให้ทีมทดสอบของบริษัทเฮนเนสซีทำการทดสอบวิ่งในทิศทางย้อนศร บนทางวิ่งของศูนย์ฯ ที่เคยใช้เป็นที่ลงจอดของกระสวยอวกาศ
ด้าน จอห์น เฮนเนสซี ประธานบริษัท เฮนเนสซีย์ เฟอร์ฟอร์แมนซ์ เอ็นจิเนียริง ระบุว่า ถึงแม้จะไม่ได้รับอนุญาตจากนาซาให้ทำการทดสอบวิ่งในรอบที่ 2 ด้วยการแล่นในทิศทางตรงข้ามบนรันเวย์ หลังจากที่ใช้เวลาขออนุญาตมานานกว่า 2 ปี แต่รถยนต์ที่ผลิตโดยบริษัทของเขาก็สามารถทำความเร็วสูงสุด ได้มากกว่าเจ้าของสถิติเดิมอย่าง บูกัตติ เวย์รอน ซูเปอร์ สปอร์ตแล้ว ทั้งๆ ที่เพิ่งทดสอบจับเวลาได้เพียงรอบเดียว ซึ่งถือเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิ
ทั้งนี้ แหล่งข่าวในแวดวงอุตสาหกรรมรถยนต์ระบุว่า ทางบริษัท เฮนเนสซีย์ เฟอร์ฟอร์แมนซ์ เอ็นจิเนียริง มีแผนจะเดินหน้าผลิต รถสปอร์ต เฮนเนสซีย์ วีนอม จีที ออกมาสู่ท้องตลาดเพียงแค่ “29 คัน” เท่านั้น (ผลิตเสร็จแล้ว 11 คัน) โดยคาดว่ารถแต่ละคันในรุ่นนี้จะใช้เวลาผลิตนานถึง 6 เดือนต่อคัน และมีราคาจำหน่ายอยู่ที่คันละประมาณ 1.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือตกคันละ “39 ล้านบาท” ไม่รวมภาษีและค่าจัดส่ง