เอเอฟพี – ประธานาธิบดีแห่งยูกันดา ลงนามในกฎหมายต่อต้านรักร่วมเพศ ซึ่งตั้งระวางโทษสูงสุด “จำคุกตลอดชีวิต” โดยไม่ใส่ใจเสียงคัดค้านจากชาติตะวันตก พร้อมเปรียบเปรยชาวสีม่วงว่าเป็นแค่ “พวกหิวเงิน” และ “โสเภณี”
ประธานาธิบดี โยเวรี มูเซเวนี กล่าวว่า ตนไม่เข้าใจว่าเหตุใดผู้ที่เกิดมาเป็นชายบางคน “จึงไม่สะดุดตาผู้หญิงสาวสวยๆ แต่กลับไปชอบผู้ชายด้วยกันแทน” พร้อมพรรณนาว่าตนรู้สึกขยะแขยงการทำ “ออรัลเซ็กซ์” เพียงใด
“นี่เป็นปัญหาใหญ่มาก พวกคุณกำลังมีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติ” มูเซเวนี ซึ่งเป็นชาวคริสต์ที่เคร่งครัดและปกครองยูกันดามานานหลายสิบปี ฝากไปถึงชาวเกย์
“พวกรักร่วมเพศเป็นแค่พวกหิวเงิน อันที่จริงโดยธรรมชาติแล้วพวกเขาก็ชอบเพศตรงข้าม แต่พอมีเงินทองเข้ามาเกี่ยวพวกเขาก็กลายเป็นรักร่วมเพศ พวกนี้ยอมขายตัวเพื่อเงินทั้งนั้น”
กฎหมายใหม่ของยูกันดาตั้งระวางโทษจำคุกตลอดชีวิต สำหรับคนรักร่วมเพศที่กระทำผิดซ้ำซาก ห้ามการส่งเสริมพฤติกรรมรักร่วมเพศทุกรูปแบบ และบังคับให้ประชาชนต้องติเตียนคนที่เป็นเกย์
ผู้นำยูกันดายังกล่าวถึงการทำออรัลเซ็กซ์ของคนรักร่วมเพศว่า “เวลาคุณใช้ปากทำอย่างนั้น คุณอาจติดเชื้อโรค แล้วมันก็จะเข้าไปในร่างกายของคุณ เพราะมันเป็นวิธีที่ผิด”
กฎหมายต่อต้านเกย์ผ่านการลงนามโดยประธานาธิบดีและมีผลบังคับใช้ แม้ถูกประณามอย่างหนักจากนานาประเทศ รวมถึงประธานาธิบดี บารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ ซึ่งเตือนว่าการออกกฎหมายเช่นนี้อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างกัมปาลา และวอชิงตัน
เจย์ คาร์นีย์ โฆษกทำเนียบขาว แถลงประณามกฎหมายนี้ว่า “น่ารังเกียจ” ขณะที่ ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงของ โอบามา ก็ชี้ว่าการที่ มูเซเวนี ยอมลงนามในกฎหมายเช่นนี้ “ถือเป็นวันแห่งความเศร้าสำหรับยูกันดาและทั่วโลก”
ผู้นำยูกันดาเมินเสียงประท้วงจากชาติผู้บริจาคทั้งหลาย โดยระบุว่าตะวันตกไม่มีสิทธิ์ก้าวก่ายกิจการในประเทศตน อีกทั้งตนเองก็ไม่กลัวว่าจะถูกระงับความช่วยเหลือใดๆ
“คนนอกมามีสิทธิ์มาสั่งเรา นี่เป็นประเทศของเรา... ผมขอแนะนำให้มิตรตะวันตกทั้งหลายอย่าเอาเรื่องนี้มาเป็นประเด็นเลย เพราะยิ่งทำเช่นนั้นมากเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งเป็นฝ่ายแพ้มากเท่านั้น” มูเซเวนี กล่าว
รัฐบาล มูเซเวนี ถูกตะวันตกตำหนิเรื่องพฤติกรรมคอร์รัปชัน รวมไปถึงการกดดันฝ่ายค้านและสื่อมวลชนอย่างหนัก และก่อนหน้านี้ทั้งนักการทูตและกลุ่มสิทธิมนุษยชนก็พยายามที่จะเรียกร้องให้เขาขัดขวางการออกกฎหมายลงโทษเกย์ ทว่าไม่เป็นผล
อย่างไรก็ดี กรุงกัมปาลาถือว่าเป็นพันธมิตรที่สำคัญของตะวันตกในภูมิภาคแอฟริกากลาง โดยเป็นปราการป้องกันการแผ่ขยายของแนวคิดอิสลามหัวรุนแรง และยังเคยอาสาส่งทหารเข้าไปช่วยปราบปรามกลุ่มติดอาวุธอิสลามิสต์ในโซมาเลียด้วย
นาวี พิลเลย์ ข้าหลวงใหญ่ด้านสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ เตือนว่ากฎหมายยูกันดา “ถูกร่างขึ้นมาอย่างกว้างๆ และอาจนำไปสู่การใช้อำนาจโดยมิชอบเอาผิดใครก็ได้”
ผู้บริจาคบางรายเริ่มดำเนินการตอบโต้รัฐบาลยูกันดาในทันที เช่น เนเธอร์แลนด์ ซึ่งสั่งระงับเงินอุดหนุนเพื่อปรับปรุงกระบวนการยุติธรรมในยูกันดาจำนวน 7,000,000 ยูโร โดยชี้ว่า “ถ้าระบบตุลาการจะบังคับใช้กฎหมายเช่นนี้ เราก็ไม่ขอสนับสนุน”
ร่างกฎหมายต่อต้านเกย์ผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภายูกันดาเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้ว หลังคณะกรรมการร่างกฎหมายยอมยกเลิกโทษประหาร ทว่ากฎหมายก็ยังระบุให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิตสำหรับบุคคลที่กระทำผิดซ้ำ
กระแสเกลียดชังคนรักร่วมเพศกำลังแพร่ระบาดหนักในยูกันดา ซึ่งศาสนาคริสต์นิกายโปรเตสแตนต์แบบอเมริกันเริ่มมีผู้นับถือมากขึ้นเรื่อยๆ
ชาวสีม่วงทั้งชายและหญิงในยูกันดา ตกเป็นเหยื่อการข่มขู่ และการใช้ความรุนแรงจากคนในสังคม โดยนักสิทธิมนุษยชนรายงานว่า เคยมีการ “รุมโทรม” สาวเลสเบียนเพื่อดัดนิสัย
เดวิด คาโต นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิเกย์ชาวยูกันดา ถูกคนร้ายทุบตีจนตายคาบ้านเมื่อปี 2011 หลังหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นนำภาพถ่าย, ชื่อ และที่อยู่ของบุคคลที่เป็นเกย์ไปลงหน้าหนึ่ง พร้อมเชิญชวนให้ประชาชน “แขวนคอพวกมัน”