เอพี/เอเจนซีส์ - หลังจากที่รัฐบาลรักษาการของประธานาธิบดียูเครน โอเล็กซานเดอร์ ตูร์ชินอฟ ได้ออกหมายจับ อดีตประธานาธิบดียูเครน วิกเตอร์ ยานูโควิช ในข้อหา “สังหารหมู่” เมื่อวานนี้ (24) ทำให้เจ้าหน้าที่ความมั่นคงของยูเครนใช้เวลาทั้งวันทั้งคืนออกล่าตัวยานูโควิชทั่วบริเวณแหลมไครเมีย ซึ่งคาดว่าเขาจะกบดานอยู่ที่นั่น ในขณะที่โฆษกประธานาธิบดีรักษาการของยูเครนได้เปิดเผยในวันอาทิตย์เช้า (23) ว่า ในขณะนี้ไม่ทราบว่าอดีตประธานาธิบดียูเครนนั้นอยู่ที่ใด ด้านรัสเซียเดือดหลังการให้สัมภาษณ์ของซูซาน ไรซ์ ในรายการซันเดย์ โชว์ วันอาทิตย์ (23) ที่เตือนรัสเซียไม่ให้ใช้กำลังทางทหารเข้าแทรกแซงวิกฤตยูเครน และรัสเซียคิดว่าคำแนะนำนี้ไรซ์ควรจะส่งให้ทางวอชิงตันจะเหมาะสมมากกว่า
โฆษกประธานาธิบดีรักษาการของยูเครนได้เปิดเผยในวันอาทิตย์เช้า (23) ว่า ในขณะนี้ไม่ทราบว่าอดีตประธานาธิบดียูเครนนั้นอยู่ที่ใดในเวลานี้ ซึ่งจากการรายงานพบว่า อดีตประธานาธิบดียูเครน วิกเตอร์ ยานูโควิช ที่ได้ถูกออกหมายจับในข้อหา “สั่งหารหมู่” พร้อมกับเจ้าหน้าที่ในรัฐบาลของเขาอีก 50 คน ได้ใช้เฮลิคอปเตอร์และพาหนะทางบกเดินทางออกจากคฤหาสน์หรูของเขาที่ตั้งอยู่นอกกรุงเคียฟไปยังเมืองคาร์เคียฟที่อยู่ทางตะวันออกของประเทศ ซึ่งโอเลห์ สโลโบยาน เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองยูเครนได้รายงานในวันอาทิตย์ (23) ว่า เครื่องบินชาร์เตอร์ของยานูโควิช 2 ลำถูกเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองห้ามบินออกจากสนามบินในเมืองโดเน็ตสค์ (Donetsk) ซึ่งเป็นฐานใหญ่ของยานูโควิชในเย็นวันเสาร์ (23) เพื่อเดินทางออกไปยังรัสเซีย นอกจากนี้แล้วยังไม่มีหลักฐานชี้ว่าเขาได้เดินทางออกจากยูเครนทางบก และนั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้พบร่องรอยของเขา นอกจากนี้ยังคาดกันว่าในเวลานี้ยานูโควิชน่าจะย้ายไปอยู่ในเขตแหลมไครเมียถิ่นอิทธิพลของรัสเซีย
และสื่อท้องถิ่นของยูเครน เคียฟโพสต์ ได้รายงานหลังจากผู้สื่อข่าวได้เดินทางไปสำรวจภายในคฤหาสน์ “Mezhyhirya complex” หลังงามที่ยานูโควิชทิ้งไว้ ปรากฏว่า เขาใช้เป็นที่พักกับเพื่อนหญิง Lyubov Polezhay วัย 39 ปี ที่ดูเหมือนว่าคนทั้งคู่จะมีความสัมพันธ์มาอย่างยาวนาน ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ที่ยานูโควิชไม่ได้เปิดเผยให้สาธารณชนได้รับรู้ ในขณะที่เป็นที่ทั่วไปต่างรับรู้ว่า ยานูโควิชไม่เคยหย่าขาดกับอดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ยูเครน Liudmyla Yanukovych วัย 62 ปี แต่ชาวยูเครนทั่วไปรู้กันว่าภรรยาของยานูโควิชนั้นอาศัยอยู่ที่เมืองโดเน็ตสค์ และไม่เคยทำหน้าที่ตำแหน่งสุภาพสตรีหมายเลข 1 แต่อย่างใดถึงแม้ว่าเธอจะปรากฏตัว 2-3 ครั้งช่วยยานูโควิชในการหาเสียงเลือกตั้ง
ในขณะที่รัสเซียได้สั่งถอนเอกอัคราชทูตออกจากรุงเคียฟเมื่อวานนี้ (24) และนายกรัฐมนตรีดมิตริ เมดเวเดฟ ของรัสเซีย ยังได้ออกคำแถลงแสดงปฏิกิริยาต่อการเปลี่ยนถ่ายอำนาจในกรุงเคียฟเป็นหนแรกของเขา โดยตั้งคำถามว่าคณะผู้นำใหม่ของยูเครนนั้นได้อำนาจมาอย่างไม่ชอบธรรม และการที่พวกประเทศตะวันตกยอมรับผู้นำใหม่เหล่านี้ก็เป็นการกระทำอันผิดพลาด
เมดเวเดฟบอกว่า รัสเซียไม่สามารถยอมรับทางการใหม่ในกรุงเคียฟในฐานะเป็นคู่เจรจากันได้ และไม่สามารถที่จะเจรจากับพวกกบฏ “ผู้ถือปืนคาลัชนิคอฟ (ปืนอาก้า) ได้”
“พูดกันอย่างเคร่งครัดแล้ว ไม่มีใครเป็นตัวแทนของเราในการติดต่อสื่อสารอยู่ที่นั่นในเวลานี้ มีข้อน่าสงสัยอันฉกาจฉกรรจ์เกี่ยวกับความชอบธรรมขององค์กรแห่งอำนาจต่างๆ ทั้งหมดซึ่งปฏิบัติหน้าที่ที่นั่น” พวกสำนักข่าวของรัสเซียรายงานคำพูดของนายกรัฐมนตรีผู้นี้
นอกจากนี้รัสเซียยังได้โต้ตอบคำเตือนของ ซูซาน ไรซ์ ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาวในรัฐบาลของประธานาธิบบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ที่แนะนำไม่ให้รัสเซียแทรกแซงวิกฤตการเมืองยูเครนโดยการใช้กำลังทหาร โดยกล่าวว่า รัสเซียตระหนักว่าคำแนะนำของสหรัฐฯเป็นสิ่งที่ดี แต่รัสเซียเชื่อว่าคำแนะนำนี้ไม่ควรที่จะใช้กับรัสเซีย แต่คิดว่าทางวอชิงตันควรเป็นฝ่ายใช้คำแนะนำนี้ดูจะเหมาะสมมากกว่า
“รัสเซียรับรู้ถึงความเชี่ยวชาญของ ซูซาน ไรซ์ จากในหลายสถานการณ์ที่ทหารสหรัฐฯได้ถูกส่งไปทั่วโลก โดยเฉพาะในจุดที่ทางวอชิงตันเชื่อว่ารูปแบบประชาธิปไตยของโลกตะวันตกกำลังตกอยู่ในอันตราย หรือเมื่อรัฐบาลท้องถิ่นชาตินั้นๆกำลังจะหลุดจากการครอบงำของสหรัฐฯ” แหล่งข่าวกระทรวงต่างประเทศรัสเซียเผยในวันจันทร์ (24)
และแหล่งข่าวรัสเซียยังเสริมต่อว่า “รัสเซียคาดหวังว่า ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงประจำทำเนียบขาวจะให้ความเห็นกับผู้นำสหรัฐฯในคำแนะนำเดียวกันกับที่แนะ “ให้ใช้กำลังทางทหารเข้าจัดการ” เมื่อรัฐบาลสหรัฐตัดสินใจที่จะเข้าแทรกแซง”
การตอบโต้มีออกมาหลังจากที่ ซูซาน ไรซ์ ได้ให้สัมภาษณ์ในรายการซันเดย์โชว์ในวันอาทิตย์ล่าสุดที่ไรซ์ได้พูดโพล่งออกมาว่า ความคิดการส่งกำลังทหารไปยังกรุงเคียฟเพื่อไปรักษาอำนาจของยานูโควิช อดีตผู้นำยูเครนที่ถูกโค่นอำนาจลงไปแล้วนั้นจะเป็น “ความผิดพลาดอย่างหายนะ” ของรัสเซียหากตัดสินใจดำเนินการเช่นนั้น
แต่ไรซ์ไม่ได้อธิบายว่าเหตุใดเธอจึงเชื่อมั่นว่ามอสโกอาจจะพิจารณาใช้กำลังทหารเพื่อช่วยเหลือยานูโควิชในขณะที่การประท้วงตลอด 3เดือนของม็อบยูเครน ชาติตะวันตกได้บินเข้ากรุงเคียฟเพื่อสนับสนุนการประท้วง แต่ในทางกลับกันรัสเซียได้แยกตัวเองออกมาจากสถานการณ์ความขัดแย้ง และได้แต่วิพากษ์ตะวันตกถึงในสิ่งที่รัสเซียมีความเห็นว่าประเทศโลกตะวันตกกำลังยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของยูเครน
และแหล่งข่าวจากกระทรวงต่างประเทศรัสเซียได้ย้ำว่า รัสเซียไม่เคยเปลี่ยนจุดยืนตนเอง และไม่ได้ให้การสนับสนุนยานูโควิช ซึ่งทางมอสโกเพียงแต่ตำหนิฝ่ายค้านยูเครนที่ไม่รักษาคำพูด และละเมิดข้อตกลงประนีประนอมที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตกและได้ลงนามร่วมกับยานูโควิช