รอยเตอร์ - ผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯ ประจำภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ยอมรับเมื่อวันพฤหัสบดี (23) ว่ารู้สึกเป็นกังวลต่อความตึงเครียดที่คุกรุ่นขึ้นระหว่างญี่ปุ่นกับจีน หนึ่งวันหลังจากนายกรัฐมนตรีแดนปลาดิบเรียกร้องการสนับสนุนจากนานาชาติ โดยชี้ว่าสถานการณ์ในปัจจุบันไม่ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างอังกฤษและเยอรมนีช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1
พล.ร.อ.ซามูเอล เจ. ล็อกเคลียร์ ผู้บัญชาการกองกาลังสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิก กล่าวว่า บทบาทของสหรัฐฯ คือสนับสนุนความอดทนอดกลั้น ความเป็นมืออาชีพและหวังว่าจะมีการเจรจาทางการทูตคลี่คลายความตึงเครียดนี้
“ผมมีความกังวล” พล.ร.อ.ล็อกเคลียร์ ตอบคำถามผู้สื่อข่าวสั้นๆ ที่เพนตากอน หลังถูกขอให้ประเมินสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างญี่ปุ่นและจีน รวมถึงความเสี่ยงเกิดความขัดแย้ง “เมื่อไหร่ก็ตามที่ 2 ชาติมหาอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางเศรษฐกิจและการทหาร มีความเห็นไม่ลงรอยกัน ไม่พูดจากัน ไม่ใช้แนวทางทางการทูตทำความเข้าใจกัน คาดการณ์ได้เลยว่าความเสี่ยงจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ”
ความสัมพันธ์ระหว่างจีนและญี่ปุ่นมึนตึงมานานแล้ว ด้วยปักกิ่งมองว่าญี่ปุ่นเพิกเฉยต่อการไถ่โทษต่อการรุกรานดินแดนบางส่วนของพวกเขาระหว่างทวรรษที่ 1930 ถึง 1940 และมันเลวร้ายลงไปอีกเมื่อเร็วๆ นี้ สืบเนื่องจากข้อพิพาทด้านอาณาเขตในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเมื่อช่วงปลายปีที่แล้ว จีน เพิ่งประกาศขยายขอบเขตป้องกันภัยทางอากาศของตนเอง
นอกจากนี้แล้ว ความสัมพันธ์ของสองชาติยังดำดิ่งหนักจากกรณีที่ญี่ปุ่นไม่วางใจต่อการขยายแสนยานุภาพทางทหารของปักกิ่ง ขณะที่นายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของแดนปลาดิบ ก็เป็นผู้ว้ำเติมสถานการณ์เสียเอง หลังจากที่เขาเดินทางไปสักการะศาลเจ้ายาสุคุนิ ซึ่งเป็นอนุสรณ์สถานระลึกคนญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากสงครามครั้งต่างๆ โดยรวมถึงพวกอาชญากรสงครามในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ด้วย
เมื่อวันพุธ (22) อาเบะ กล่าวปราศรัยสำคัญในงานเวิลด์ อีโคโนมิก ฟอรัมที่เมืองดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ เปรียบเทียบสถานการณ์ความตึงเครียดปัจจุบันระหว่างญี่ปุ่นกับจีนว่า เหมือนอังกฤษกับเยอรมนี ซึ่งแม้มีสัมพันธ์ทางการค้าแนบแน่น แต่ก็ไม่อาจฉุดรั้งทั้งสองประเทศไม่ให้เข้าห้ำหั่นกันในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในปี 1914
อาเบะเสริมว่า การเพิ่มงบประมาณกลาโหมอย่างต่อเนื่องของจีน เป็นประเด็นสำคัญที่ทำให้เสถียรภาพของเอเชียสั่นคลอน พร้อมเรียกร้องให้มีการควบคุมการขยายอิทธิพลทางการทหารในภูมิภาค เนื่องจากหากสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชียสั่นสะเทือน ย่อมเกิดแรงกระเพื่อมมโหฬารไปยังทั่วโลก “ผลประโยชน์จากการเติบโตในเอเชียต้องไม่สูญเปล่าจากการขยายอิทธิพลทางทหาร”
ผู้นำญี่ปุ่นยังเรียกร้องให้จีนร่วมมือสร้างกลไกที่จะป้องกันไม่ให้การเกิดข้อพิพาทกันกลายเป็นตัวทำลายความมั่งคั่งร่วมกัน ตลอดจนติดตั้งการติดต่อสื่อสารสายด่วนระหว่างกองทัพของสองประเทศ อีกทั้งต้องการให้จีนร่วมแบ่งปันรายละเอียดการใช้จ่ายด้านการทหาร
“ความไว้วางใจคือสิ่งที่ทรงสำคัญยิ่งยวดต่อสันติภาพและความมั่งคั่งในเอเชียและทั่วโลก หาใช่ความตึงเครียดไม่ และสิ่งนี้ (ความไว้วางใจ) จะสามารถเป็นไปได้ด้วยการเจรจาและการใช้หลักนิติธรรม ไม่ใช่การใช้กำลังหรือการข่มขู่” เขากล่าว
ถึงแม้ตัวอาเบะเองไม่ได้กล่าวพาดพิงถึงจีนอย่างโต้งๆ แต่พวกเจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นได้ออกมาตั้งธงเอาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นคราวนี้ เป็นการส่งสัญญาณเตือนภัยเพื่อเรียกร้องการสนับสนุนจากนานาชาติในสิ่งที่โตเกียวมองว่า เป็นการคุกคามจากจีน
ข้อพิพาทกรณีการแย่งชิงสิทธิเหนือหมู่เกาะเซงกากุ หรือที่จีนเรียกว่าเตี้ยวอี๋ว์ ที่อยู่ในทะเลจีนตะวันออกและคาดการณ์กันว่าอุดมด้วยแร่ธาตุสำคัญ ถูกญี่ปุ่นตีความว่า เป็นความพยายามของจีนในการควบคุมเส้นทางเดินเรือสำคัญในทะเลจีนตะวันออกอีกด้วย ในเวลาที่คำมั่นสัญญาของอเมริกาที่จะการรับประกันความมั่นคงของญี่ปุ่นนั้นเริ่มอยู่ในภาวะคลอนแคลน