รอยเตอร์/เอเอฟพี - ชาวเกาหลีใต้หลายหมื่นคนแห่กันไปยังธนาคารและคอลเซนเตอร์ต่างๆ เมื่อวันอังคาร (21 ม.ค.) เพื่อแจ้งขอเลิกบัตรเครดิต ภายหลังเกิดกรณีโจรกรรมข้อมูลส่วนตัวจากบัตรเครดิตและบัญชีธนาคารครั้งมโหฬารถึงกว่า 100 ล้านบัญชี โดยที่สื่อโสมขาวเผยว่า ทั้งประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย และบัน คีมูน เลขาธิการยูเอ็น เป็นส่วนหนึ่งของเหยื่อที่ถูกขโมยข้อมูลด้วย นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า ชาวโสมขาวกว่าร้อยรวมตัวฟ้องหมู่บริษัทบัตรเครดิต ขณะที่ผู้บริหารบริษัทเหล่านั้นเสนอตัวลาออกเพื่อรับผิดชอบต่อความผิดพลาดที่เกิดขึ้น
สำนักงานกำกับตรวจสอบภาคการเงิน (เอฟเอสเอส) ของเกาหลีใต้ ระบุว่า ตั้งแต่วันจันทร์ (20) เป็นต้นมา มีเหยื่อมากกว่า 1.15 ล้านราย ของกรณีข้อมูลทางการเงินส่วนตัวรั่วไหลครั้งใหญ่ที่สุดคราวนี้ ได้ขอยกเลิกบัตรเครดิตของตนอย่างถาวร หรือยื่นขอให้ออกบัตรใบใหม่
ขณะที่ 3 บริษัทผู้ออกบัตรเครดิตที่ถูกโจรกรรมข้อมูล อันได้แก่ เคบี คุกมิน การ์ด, ลอตเต การ์ด, และเอ็นเอช นองฮุบ ต่างต้องว่าจ้างพนักงานพิเศษเป็นจำนวนหลายพันคน ให้เข้าประจำตามสาขาและคอลเซ็นเตอร์ต่างๆ เพื่อรับมือกับการร้องเรียนตลอดจนการขอยกเลิกใช้บัตรของลูกค้า ซึ่งหลั่งไหลทะลักเข้ามาเมื่อข่าวเรื่องนี้แพร่กระจายออกไป
กระแสความแตกตื่นคราวนี้ มีต้นตอจากการที่เอฟเอสเอสเปิดเผยโดยอ้างข้อมูลจากสำนักงานอัยการว่า ช่างเทคนิคคนหนึ่งที่ทำงานให้กับโคเรีย เครดิต บูโร ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนที่จัดการข้อมูลบัตรเครดิตของชาวเกาหลีนับล้านๆ คนให้แก่บริษัทและธนาคารผู้ให้บริการทางการเงินทั้งหลาย ได้โหลดรายละเอียดบัตรเครดิต 105.8 ล้านใบของ 3 ผู้ออกบัตรเครดิตรายยักษ์ของโสมขาว ลงในฮาร์ดไดรฟ์แบบพกพา ระหว่างเข้าปฏิบัติหน้าที่ในเดือนกุมภาพันธ์ มิถุนายน และธันวาคมปีที่แล้ว
ต่อมาช่างเทคนิคดังกล่าวได้นำข้อมูลไปขายให้บุคคลอย่างน้อย 2 คนที่รวมถึงนักการตลาดสินเชื่อและนายหน้าค้าหุ้น และขณะนี้เจ้าหน้าที่ได้จับกุมช่างเทคนิคผู้นี้และผู้กระทำผิดอีกอย่างน้อย 1 คน
ในวันอาทิตย์ (19) พวกเจ้าหน้าที่เอฟเอสเอสประกาศว่า มีผู้ที่ตกเป็นเหยื่อการโจรกรรมข้อมูลคราวนี้อย่างน้อยที่สุด 20 ล้านคน หรือเท่ากับราว 40% ของประชากรเกาหลีใต้ซึ่งมีทั้งสิ้น 50 ล้านคน
ทั้งนี้ ข้อมูลที่ถูกโจรกรรมประกอบด้วยชื่อ ที่อยู่ที่บ้าน เบอร์โทรศัพท์ หมายเลขบัญชี รายละเอียดบัตรเครดิต หมายเลขบัตรประจำตัว รายได้ สถานะสมรส และหมายเลขหนังสือเดินทาง แต่ไม่รวมถึงรหัสผ่านของบัตรเครดิต ซึ่งพอจะทำให้ชาวเกาหลีใต้โล่งอกได้บ้างเท่านั้น เนื่องจากการทำธุรกรรมด้วยบัตรเครดิต ส่วนใหญ่ก็ใช้เพียงการรูดและเซ็นชื่อเท่านั้น ไม่มีชิปหรือการประมวลผลรหัส PIN แต่อย่างใด มิหนำซ้ำช่องทางขายบางประเภท เช่น สถานีโฮมชอปปิ้ง ยังไม่เรียกร้องลายเซ็นผู้ถือบัตรเลย
โดยเฉลี่ยแล้ว ชาวเกาหลีใต้ถือบัตรเครดิตคนละมากกว่า 4 ใบ ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกาหลีใต้เป็นหนึ่งในประเทศพัฒนาแล้วที่หนี้สินส่วนตัวมีมูลค่าสูงสุดเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจ ขณะที่ข้อมูลจากเครดิต ไฟแนนซ์ แอสโซซิเอชัน ออฟ โคเรียระบุว่า การใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตในเกาหลีใต้ปี 2012 มีมูลค่าถึง 424,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 66% ของมูลค่าการบริโภคส่วนบุคคล
นอกจากรีบแจ้งยกเลิกบัตรเครดิตแล้ว มีรายงานว่าผู้เสียหายอย่างน้อย 130 คนได้รวมตัวกันฟ้องหมู่บริษัทบัตรเครดิต 3 แห่ง เรียกร้องค่าชดเชยคนละ 110 ล้านวอน (103,400 ดอลลาร์) และคาดว่า จะมีประชาชนจำนวนมากมายื่นฟ้องเพิ่ม เนื่องจากข่าวนี้กำลังครึกโครมอยู่ในห้องสนทนาในอินเทอร์เน็ตและสื่อสังคมมากมาย
สื่อเกาหลีใต้รายงานว่า ประธานาธิบดีพัคและบัน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) อยู่ในกลุ่มผู้บริโภคที่ถูกขโมยข้อมูลครั้งนี้ด้วย แม้เจ้าหน้าที่รัฐบาลและบัตรเครดิตปฏิเสธที่จะแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ก็ตาม
นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า พวกผู้บริหารของเคบี คุกมิน แบงก์, เอ็นเอช นองฮับ การ์ด, ล็อตเต้ การ์ด และโคเรีย เครดิต บูโรที่ว่าจ้างช่างเทคนิคที่ก่อเหตุ ได้เสนอตัวลาออก หลังจากเจ้าหน้าที่สอบสวนพิสูจน์ให้เห็นว่า การโจรกรรมข้อมูลจำนวนมากขนาดนี้เกิดขึ้นง่ายดายอย่างยิ่ง
การละเมิดความเป็นส่วนตัวครั้งใหญ่ที่สุดที่เกิดขึ้นในเกาหลีใต้ครั้งนี้ตอกย้ำความเสี่ยงของข้อมูลบัตรเครดิต หลังจากแฮกเกอร์เจาะเข้าระบบของห้างค้าปลีกใหญ่ ทาร์เก็ต คอร์ป และล้วงข้อมูลผู้ถือบัตรเครดิตหลายสิบล้านคนในอเมริการะหว่างเทศกาลจับจ่ายส่งท้ายปีที่ผ่านมา
ทางการเกาหลีใต้เผยว่า การละเมิดการรักษาความปลอดภัยข้อมูล ซึ่งส่งผลต่อผู้ถือบัตร 20 ล้านคนคราวนี้ ซึ่งถือเป็นการฉ้อฉลต่อบริษัทการเงินครั้งใหญ่ที่สุดในเกาหลีใต้นับจากปี 2011 และเป็นการดำเนินการภายในประเทศ จากที่ผ่านมาที่การโจมตีบางครั้งเป็นฝีมือแฮกเกอร์เกาหลีเหนือ
ขณะเดียวกัน นีลสัน รีพอร์ต วารสารการค้าในแคลิฟอร์เนียที่ติดตามอุตสาหกรรมบัตรเครดิตระบุในวารสารฉบับเดือนสิงหาคมว่า การฉ้อโกงบัตรเครดิตทั่วโลกในปี 2012 มีมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 11,300 ล้านดอลลาร์ จากไม่ถึง 10,000 ล้านดอลลาร์ในปีก่อนหน้า โดยเกือบครึ่งเกิดขึ้นในอเมริกา และสาเหตุหนึ่งคือ การขาดอุปกรณ์อ่านบัตรขั้นสูง