เอเชียตอ.เฉียงใต้ เดือด!! “จีน” ผุดโปรเจกต์ “ซุปเปอร์เรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์” ต่อกรกองเรือรบ “สหรัฐฯ”

เอเจนซีส์ - สื่อรัสเซีย RT รายงานว่า จีนได้ประกาศแผนการสร้างเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ขนาด 110,000 ตันขึ้น หลังจากที่ทางกรุงวอชิงตันได้เพิ่มกำลังทางทหารเพิ่มมากขึ้นในทะเลจีนตะวันออกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

สื่อรัสเซีย RT รายงานว่า เวปไซต์ข่าวภาษาจีนqianzhan.com ได้อ้างถึงแหล่งข่าวระดับสูงของกองทัพจีนได้เผยว่า เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ของจีนจะเผยโฉมก่อนปี 2020

โดยอ้างจากแหล่งข่าวของกองทัพจีนระบุว่า เรือบรรทุกเครื่องบินลำใหม่ที่จะต่อภายในประเทศนี้จะเป็นขนาดขยายของเรือบรรทุกเครื่องบินเหลียวหนิง ซึ่งแบบของเรือลำใหม่นั้นจะมาจากแบบของเรือบรรทุกเครื่องบินพลังงานนิวเคลียร์ในสมัยสหภาพโซเวียตที่มีขนาด80,000 ตันและสามารถบรรทุกเครื่องบินขับไล่ได้ 60 ลำ

โดยqianzhan.com อ้างว่า ก่อนที่ถึงปี 2020 จีนจะสามารถต่อกรกับเรือบรรทุกเครื่องบินสหรัฐฯที่มีสมรรถนะสูงสุดในกองทัพเรือสหรัฐฯได้ในน่านน้ำภูมิภาคนี้”

การประกาศแผนการของจีนล่าสุดนี้ทำให้ความตึงเครียดในภูมิภาคนี้สูงมากขึ้น หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางสหรัฐฯได้ตัดสินใจเพิ่มกำลังทางทหารเพิ่มขึ้นในทะเลจีนตะวันออกและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดยสื่อรัสเซียได้เปิดเผยต่อไปว่า เมื่อเร็วๆนี้เรือรบสหรัฐฯ USS Freedom ได้เดินทางมาถึงสิงคโปร์เพื่อภารกิจปฎิบัติการ 8 เดือนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ในขณะเดียวกัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมาญี่ปุ่นได้ประกาศถึงแผนทางการทางทหาร 5 ปีเพื่อทานอำนาจทางทหารของจีนที่เพิ่มขึ้นทุกวันในทะเลจีนตะวันออก ซึ่งญี่ปุ่นมีแผนที่จะจัดซื้อ โดรน เครื่องบินขับไล่ F-35 และระบบอำนวยการรบ Aegis จากสหรัฐฯ

และจีนได้ตอบโต้การประกาศเพิ่มศักยภาพทางทหารของญี่ปุ่นครั้งนี้ว่า จีนต่อต้านกับแผนฏษณของญี่ปุ่น และการที่ญี่ปุ่นแสวงหาความช่วยเหลือจากพันธมิตรจากนอกภูมิภาคแสดงให้เห็นว่าญี่ปุ่นยังมีความฝักใฝ่ในสงครามเย็น

นอกจากนี้ร่องรอยของการเพิ่มความตึงเครียดหากความขัดแย้งไม่ถูกจัดการให้ดีนั้นเกิดในต้นเดือนนี้ที่เรือรบสหรัฐฯ USS Cowpensและเรือบรรทุกเครื่องบินจีนเหลียวหนิงได้ประจัญหน้ากัน

นอกจากนี้ RTยังรายงานว่า ดีน เชง ผู้ชี่ยวชาญด้านจีนประจำ Heritage Foundation ได้ให้ความเห็นว่า ในเหตุการณ์เมื่อวันที่ 5 ธันวาคมนั้น ทางจีนต้องการส่งสัญญาณให้สหรัฐฯได้รับรู้ว่า หากสหรัฐฯยังต้องการมีปฎิบัติการในน่านน้ำแถบนี้ สหรัฐฯต้องเตรียมตัวที่จะต้องเผชิญกับแรงกดดันสูง แต่หากไม่ประสงค์ที่จะเผชิญหน้า ทางที่ดีที่สุดคือ “การออกจากภูมิภาคนี้”