(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)
Little Kim does Pulp Fiction
By Pepe Escobar
13/12/2013
จาง ซองเต็ก อาเขยผู้ทรงอำนาจของ คิม จองอึน คือ “อัครมหาเสนาบดี” ของผู้นำหนุ่มแห่งเกาหลีเหนือผู้นี้ ประดุจเดียวกับ “พระคาร์ดินัลริเชอลิเย” ในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสทีเดียว แต่แน่นอนว่านี่หมายถึงก่อนหน้าที่ จาง จะถูกประทับตราว่าเป็นปีศาจร้าย, ถูกไต่สวนและถูกประหารชีวิตไปอย่างรวดรัด เพื่อแสดงให้เห็นกันชัดๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นนายใหญ่อยู่แถวนี้ และเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมสั่งการอะไรต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ถึงแม้เขาจะถูกประจานกล่าวร้ายเต็มๆ ว่าประกอบอาชญากรรมกระทำความผิดมากมายเหลือล้น โดยเรื่องที่ฉกาจฉกรรจ์ที่สุดย่อมได้แก่ข้อกล่าวหาที่ว่าวางแผนกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจ แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็เป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมอยู่กับปักกิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีพวกที่มองเปียงยางว่า เป็นศูนย์ของแก๊งผู้ร้ายอาชญากร มองเห็นการประหารชีวิตจาง ว่าเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในการขอโก่งราคาค่าตัว สำหรับ “การร่วมมือ” กับทางการแดนมังกร
“เดนมนุษย์ที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด” , “เลวร้ายเสียยิ่งกว่าสุนัข”, “คนที่คิดคดทรยศมาทุกยุคทุกสมัย” ผู้ซึ่ง “มีพฤติการณ์สร้างความแตกแยกที่ทั้งเป็นการต่อต้านพรรคและทั้งเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ ในความพยายามที่จะโค่นล้มการนำของพรรคของเราและรัฐของเรา ตลอดจนระบบสังคมนิยมของเรา” โทษทัณฑ์ที่จะต้องได้รับก็คือ: การพิจารณาอย่างรวดเร็วของศาลทหาร และการประหารชีวิตอย่างรวดเร็ว “ในนามของการปฏิวัติและประชาชน”
นี่แหละคือชะตากรรมของ จาง ซองเต็ก (Jang Song-thaek) วัย 67 ปี อาเขยของ คิม จองอึน (คาดกันว่าปัจจุบันมีอายุ 30 ปีแม้จะยังมีบางความเห็นที่โต้แย้ง) ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ตามรายงานของสำนักข่าวเคซีเอ็นเอ (KCNA) ของทางการโสมแดง
เคซีเอ็นเอ บรรยายต่อไปว่า จาง –ผู้ซึ่งแต่งงานกับ คิม คยอง-ฮุย (Kim Kyong-hui) น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลยิ่งของ คิม จองอิล ผู้นำอันเป็นที่รัก (Dear Leader) และเป็นบิดาซึ่งล่วงลับไปแล้วของ คิม จองอึน – ยอมรับสารภาพว่าต้องการที่จะทำรัฐประหารยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร คาดหมายได้ว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากนี้ไป ก็คือ การกวาดล้าง (ในระดับสำนักบริหารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี) ใครที่เคยพูดว่า มุกเก่าๆ ยุคสงครามเย็นแบบนี้ถูกเก็บขึ้นหิ้งไม่มีใครเอามาเล่นอีกแล้ว เห็นทีจะต้องทบทวนความคิดกันใหม่
ในทางทฤษฎี จางเป็นอัครมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจมากมาย ของคิมหนุ่ม ประดุจดังเช่น “พระคาร์ดินัลริเชอลิเย” (Cardinal Richelieu) ในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสทีเดียว แต่แล้วจู่ๆ เหมือนฟ้าผ่าขึ้นมากลางแดดเปรี้ยง สถานีโทรทัศน์ของรัฐเผยแพร่ภาพที่เขาถูกลากตัวออกมาจากที่ประชุมแห่งหนึ่ง, ถูกเหยียดหยามต่อหน้าสาธารณชน, ถูกประทับตราเป็นปีศาจร้ายซึ่งทั้งติดยาเสพติดและทั้งเจ้าชู้หมกมุ่นทางเพศ, ถูกปลดถูกถอดออกจากทุกๆ ตำแหน่งยศศักดิ์ (ทั้งผู้อำนวยการใหญ่สำนักบริหารของพรรค, รองประธานคณะกรรมการกลาโหมแห่งชาติ), ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชั่น, ถูกไต่สวนดำเนินคดีและถูกประหารชีวิตแบบรวบรัด, ช่างเป็นความรุนแรงโหดเหี้ยมอันน่าตะลึงงัน ราวกับมันเป็นภาพยนตร์เรื่อง “พัลพ์ ฟิกชั่น” (Pulp Fiction) ซึ่งเกาหลีเหนือนำมารีเมกใหม่ทีเดียว
**การกวาดล้างยังจะติดตามมา**
เราลองมาสำรวจปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ ประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย (Park Geun-hye) แห่งเกาหลีใต้ แถลงว่า แถลงว่า นี่คือ “ยุคแห่งความหฤโหด” ในเกาหลีเหนือ ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหม อิสึโนริ โอโนเดระ (Itsunori Onodera) ของญี่ปุ่นบอกว่า นี่คือการนำเอาการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในประเทศจีนมารีมิกซ์กันใหม่ ส่วนในแดนมังกรเอง ปักกิ่งกำลังแสดงออกให้เห็นถึงความยับยั้งชั่งใจที่เป็นเครื่องหมายการค้าของจีน โดยระบุว่า มันเป็นเพียง “กิจการภายใน” ของโสมแดง
สิ่งที่สามารถตีความหมายได้อย่างชัดเจนที่สุดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในคราวนี้ก็คือ คิมกำลังบอกกับเกาหลีเหนือ, บอกกล่าวกับทั่วทั้งคาบสมุทรเกาหลี, ตลอดจนทั่วโลกโดยรวมว่า “ข้าคือคนคุมแถวนี้ อย่าได้บังอาจมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า”
ทีนี้ลองมาดูรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นกันบ้าง คิมน้อยนั้น ตั้งแต่ที่เขาขึ้นเถลิงครองบัลลังก์ผู้นำเกาหลีเหนือ ก็ได้มีการดำเนินการปรับปรุงโยกย้ายผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ อย่างต่อเนื่องทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ (ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของกระทรวงการรวมชาติของเกาหลีใต้) ภาพสมมุติสถานการณ์ที่ดูอาจจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การกวาดล้างจางนั้นดำเนินไปในแบบสโลว์โมชั่น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนก่อน ทว่าก็อาจจะเปิดฉากขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเสียอีกก็เป็นไปได้ เพราะทั้ง คิม อิลซุง และ คิม จองอิล ต่างระแวงสงสัยเสมอมาว่า เขาเป็นนักไต่เต้าทางสังคม (และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักไต่เต้าทางการเมือง) พวกผู้ช่วยของจางบางคนได้ถูกกำจัดแบบโหดๆ อย่างในหนังพัลป์ ฟิกชั่น ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้จัดการในเรื่องการเงินของเขาโชคดีมากที่อยู่ในประเทศจีน และได้รับการดูแลจากพวกเกาหลีใต้
ขออย่าได้เข้าใจผิดทีเดียวเชียว จางนั้นเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างยิ่งและเป็นคนที่มีเส้นสายโยงใยกับฝ่ายต่างๆ อย่างดียิ่ง เขาทรงอำนาจมากถึงขนาดที่การรณรงค์กวาดล้างผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นสมัครพรรคพวกของเขา หรือที่รู้จักเรียกขานกันว่า การรณรงค์ “เข้ารับการศึกษาอบรมใหม่” –ถ้าแกไม่ยอมหันมาเคารพบูชาคิม เขาก็จะเล่นงานลงโทษแกอย่างสุดโหด— ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นหลังจากนี้ไปนั้น จะไม่ใช่สิ่งที่สามารถดำเนินการไปได้อย่างสะดวกง่ายดายเลย
เกาหลีเหนือกำลังมาถึงทางแยกสำคัญ และ จาง ก็เป็นผู้ที่ยืนอยู่ตรงจุดศูนย์รวมของทางแยกเหล่านี้ ทั้งนี้เราอาจจะกล่าวสรุปอย่างหยาบๆ ได้ว่า เขาเป็นหนึ่งในชนชั้นนำจำนวนไม่มากนักของโสมแดง ซึ่งตัดสินใจที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แก่การยกย่องเชิดชู “พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี” เป็นอันดับหนึ่ง เพื่อเป็นการคานอำนาจฝ่ายทหาร และจากนั้นจึงจะสามารถเริ่มต้นดำเนินการอย่างเป็นเอกภาพกัน ในการเปิดกว้างระบบเศรษฐกิจของประเทศในบางระดับบางรูปแบบ
เราควรต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า คิม จองอิล ผู้บิดาของ คิม จองอึน นั้น แรกเริ่มทีเดียวเคยกำหนดว่า นโยบายสำคัญที่สุดคือ “ทหารต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก” ทว่าในเวลาต่อมาเขาเริ่มต้นเบี่ยงเบนไปในอีกทางหนึ่งเพื่อเป็นการเตรียมการสำหรับให้บุตรชายขึ้นสืบทอดอำนาจต่อจากเขา คาดหมายได้ว่าเมื่อถึงยุคของเขา คิมน้อยก็ได้เลือกเลื่อนพวกเจ้าหน้าที่สายที่มีอำนาจอยู่ในพรรคเป็นจำนวนมาก ให้เข้าดำรงตำแหน่งสำคัญๆ และเวลานี้มนตร์บทที่ต้องท่องบ่นกันเป็นประจำในเกาหลีเหนือก็คือ พรรคต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ภายในบริบทเช่นนี้ จึงมีความสำคัญเช่นเดียวกันที่เราจะต้องสำรวจดูว่า พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลีนั้นมุ่งประณาม “อาชญากรรมต่างๆ” ของจาง โดยเน้นหนักที่เรื่องอะไรบ้าง
ในเกาหลีเหนือเวลานี้ หากจะดำเนินการปฏิรูปทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญใดๆ ก็ตามที จะกระทำได้หรือไม่ ต้องขึ้นโดยตรงกับการที่พรรคสามารถมีอำนาจสูงสุดเหนือฝ่ายทหารหรือไม่ –เพราะเมื่อมีการเน้นย้ำเช่นนี้เท่านั้น พวกนักวางแผนเศรษฐกิจระดับท็อปของโสมแดง ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นคนของพรรค จะได้สามารถเน้นย้ำว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดพอๆ กับการผลิตขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์
นอกเหนือไปจากถูกกล่าวหาว่าพยายามทำรัฐประหารยึดอำนาจแล้ว จางก็เป็นผู้ปกป้องแก้ต่างอย่างเหนียวแน่นมั่นคงให้แก่การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษของเกาหลีเหนือ ซึ่งมุ่งหมายที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และให้โสมแดงสามารถส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ได้มากขึ้น (คล้ายๆ กับว่า เปียงยางกำลังหลงใหลการรีมิกซ์สิ่งที่ปักกิ่งเคยทำมาเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1980 นั่นแหละ) อันที่จริงเปียงยางก็กำลังเคลื่อนไปได้ทิศทางนี้อยู่แล้ว –ตัวอย่างเช่นมีการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งในด้านถนน, ทางรถไฟ, และท่าเรือ ในบริเวณพื้นที่ชายแดนทั้งที่อยู่ติดกับจีนและอยู่ติดกับรัสเซีย แล้วก็ไม่ได้มีเฉพาะจีนกับรัสเซียเท่านั้นที่ต้องการจะเข้าไปลงทุนในเกาหลีเหนือ พวกผู้แข่งขันรายอื่นๆ ยังมีดังเช่น ฮ่องกง, ไต้หวัน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, และมองโกเลีย
**การต่อรองเพื่อโก่งราคาค่าตัว**
เหมือนอย่างที่เป็นอยู่เสมอมา เรื่องอะไรทั้งหลายของเกาหลีเหนือมักมีอันต้องเกี่ยวข้องพาดพิงกับจีนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเรื่องของจางก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในข่ายนี้ จางนั้นเป็นคนที่ใกล้ชิดกับปักกิ่ง –และตัวเขาเองก็ต้องการให้มีเม็ดเงินลงทุนจากจีนเป็นจำนวนมาก ยังไม่มีใครทราบว่าการกวาดล้างที่กำลังจะบังเกิดขึ้นคราวนี้จะกระทบกระเทือนธุรกิจมากน้อยแค่ไหน พวกที่เชื่อถือในทัศนะที่ว่าเกาหลีเหนือมีการปกครองการบริหารที่ไม่แตกต่างอะไรจากการดำเนินงานของพวกแก๊งผู้ร้ายอาชญากร จะมองการกวาดล้างครั้งนี้ว่าเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งที่จะโก่งราคาค่าตัว สำหรับการที่เกาหลีเหนือจะ “ให้ความร่วมมือ” กับฝ่ายจีน
ความคิดเห็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะเลยเถิดเกินความเป็นจริง เปียงยางนั้นต้องพึ่งพาอาศัยจีนอย่างเหลือเกิน แต่ก็จะไม่เคยยอมปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเลย พม่านั้นได้แสดงให้เห็นแล้วว่าควรจะต้องทำอย่างไร โดยที่พวกเขาสามารถแสดงบทบาทในเรื่องนี้ได้อย่างสวยงาม อีกทั้งแตกต่างไปจากเกาหลีเหนือ ตรงที่ไม่ต้องมีส่วนประกอบโหดๆ แบบหนังเรื่องพัลฟ์ ฟิกชั่น ทั้งนี้ในขณะที่ปิดประตูประเทศอยู่อย่างโดดเดี่ยวแบบฤาษีและต้องพึ่งพาอาศัยจีนอย่างสิ้นเชิงมานานปี แต่พอวันดีคืนดีพม่าก็ประกาศ “เปิดประตู” และดำเนินการ “กระจายความเสี่ยง” ในทันที โดยมุ่งผูกสัมพันธ์กับหุ้นส่วนหลายๆ ฝ่าย รวมทั้งฝ่ายตะวันตกด้วย
สิ่งที่แน่นอนก็คือ นโยบายสูงสุดของคิม จองอึน ซึ่งก็คือ พรรคผู้ใช้แรงงานจะต้องแข็งแกร่งเท่าเทียมหรือกระทั่งเข้มแข็งยิ่งกว่าฝ่ายทหารนั้น จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ส่วนสำหรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้นั้น มีความเป็นไปได้ที่คิมน้อยกระทั่งอาจจะเพิ่มบทหักมุมพลิกความคาดหมายกันบ้าง เป็นต้นว่าสั่นสะเทือนขวัญผู้คนทั่วโลกด้วยการเปิดฉากทดสอบยิงขีปนาวุธติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ หรืออวดอ้างว่ากำลังจัดการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกรอบหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เกิด “ความสามัคคีเกาะเกี่ยวกันภายใน” ทั้งนี้ ชาวเกาหลีเหนือ –ยังไม่ต้องพูดถึงชาวเกาหลีใต้, ชาวญี่ปุ่น, และชาวอเมริกัน— จะต้องตระหนักรับรู้ข้อความที่คิมน้อยตั้งใจส่งออกมาอย่างแน่นอน --อย่าได้ไปยุ่งกับเขาทีเดียว ไม่ยังงั้นเขาจะเล่นงานคุณอย่างสุดโหด
เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com.
Little Kim does Pulp Fiction
By Pepe Escobar
13/12/2013
จาง ซองเต็ก อาเขยผู้ทรงอำนาจของ คิม จองอึน คือ “อัครมหาเสนาบดี” ของผู้นำหนุ่มแห่งเกาหลีเหนือผู้นี้ ประดุจเดียวกับ “พระคาร์ดินัลริเชอลิเย” ในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสทีเดียว แต่แน่นอนว่านี่หมายถึงก่อนหน้าที่ จาง จะถูกประทับตราว่าเป็นปีศาจร้าย, ถูกไต่สวนและถูกประหารชีวิตไปอย่างรวดรัด เพื่อแสดงให้เห็นกันชัดๆ ว่าใครกันแน่ที่เป็นนายใหญ่อยู่แถวนี้ และเป็นผู้รับผิดชอบควบคุมสั่งการอะไรต่างๆ ได้อย่างแท้จริง ถึงแม้เขาจะถูกประจานกล่าวร้ายเต็มๆ ว่าประกอบอาชญากรรมกระทำความผิดมากมายเหลือล้น โดยเรื่องที่ฉกาจฉกรรจ์ที่สุดย่อมได้แก่ข้อกล่าวหาที่ว่าวางแผนกระทำการรัฐประหารยึดอำนาจ แต่ในอีกด้านหนึ่งเขาก็เป็นคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมอยู่กับปักกิ่ง ด้วยเหตุนี้จึงมีพวกที่มองเปียงยางว่า เป็นศูนย์ของแก๊งผู้ร้ายอาชญากร มองเห็นการประหารชีวิตจาง ว่าเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งในการขอโก่งราคาค่าตัว สำหรับ “การร่วมมือ” กับทางการแดนมังกร
“เดนมนุษย์ที่เลวทรามต่ำช้าที่สุด” , “เลวร้ายเสียยิ่งกว่าสุนัข”, “คนที่คิดคดทรยศมาทุกยุคทุกสมัย” ผู้ซึ่ง “มีพฤติการณ์สร้างความแตกแยกที่ทั้งเป็นการต่อต้านพรรคและทั้งเป็นปฏิปักษ์ปฏิวัติ ในความพยายามที่จะโค่นล้มการนำของพรรคของเราและรัฐของเรา ตลอดจนระบบสังคมนิยมของเรา” โทษทัณฑ์ที่จะต้องได้รับก็คือ: การพิจารณาอย่างรวดเร็วของศาลทหาร และการประหารชีวิตอย่างรวดเร็ว “ในนามของการปฏิวัติและประชาชน”
นี่แหละคือชะตากรรมของ จาง ซองเต็ก (Jang Song-thaek) วัย 67 ปี อาเขยของ คิม จองอึน (คาดกันว่าปัจจุบันมีอายุ 30 ปีแม้จะยังมีบางความเห็นที่โต้แย้ง) ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ ตามรายงานของสำนักข่าวเคซีเอ็นเอ (KCNA) ของทางการโสมแดง
เคซีเอ็นเอ บรรยายต่อไปว่า จาง –ผู้ซึ่งแต่งงานกับ คิม คยอง-ฮุย (Kim Kyong-hui) น้องสาวผู้ทรงอิทธิพลยิ่งของ คิม จองอิล ผู้นำอันเป็นที่รัก (Dear Leader) และเป็นบิดาซึ่งล่วงลับไปแล้วของ คิม จองอึน – ยอมรับสารภาพว่าต้องการที่จะทำรัฐประหารยึดอำนาจด้วยกำลังทหาร คาดหมายได้ว่าสิ่งที่จะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากนี้ไป ก็คือ การกวาดล้าง (ในระดับสำนักบริหารของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์เกาหลีเหนือ ที่มีชื่ออย่างเป็นทางการว่า พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี) ใครที่เคยพูดว่า มุกเก่าๆ ยุคสงครามเย็นแบบนี้ถูกเก็บขึ้นหิ้งไม่มีใครเอามาเล่นอีกแล้ว เห็นทีจะต้องทบทวนความคิดกันใหม่
ในทางทฤษฎี จางเป็นอัครมหาเสนาบดีผู้กุมอำนาจมากมาย ของคิมหนุ่ม ประดุจดังเช่น “พระคาร์ดินัลริเชอลิเย” (Cardinal Richelieu) ในยุคพระเจ้าหลุยส์ที่ 13 แห่งฝรั่งเศสทีเดียว แต่แล้วจู่ๆ เหมือนฟ้าผ่าขึ้นมากลางแดดเปรี้ยง สถานีโทรทัศน์ของรัฐเผยแพร่ภาพที่เขาถูกลากตัวออกมาจากที่ประชุมแห่งหนึ่ง, ถูกเหยียดหยามต่อหน้าสาธารณชน, ถูกประทับตราเป็นปีศาจร้ายซึ่งทั้งติดยาเสพติดและทั้งเจ้าชู้หมกมุ่นทางเพศ, ถูกปลดถูกถอดออกจากทุกๆ ตำแหน่งยศศักดิ์ (ทั้งผู้อำนวยการใหญ่สำนักบริหารของพรรค, รองประธานคณะกรรมการกลาโหมแห่งชาติ), ถูกกล่าวหาว่าทุจริตคอร์รัปชั่น, ถูกไต่สวนดำเนินคดีและถูกประหารชีวิตแบบรวบรัด, ช่างเป็นความรุนแรงโหดเหี้ยมอันน่าตะลึงงัน ราวกับมันเป็นภาพยนตร์เรื่อง “พัลพ์ ฟิกชั่น” (Pulp Fiction) ซึ่งเกาหลีเหนือนำมารีเมกใหม่ทีเดียว
**การกวาดล้างยังจะติดตามมา**
เราลองมาสำรวจปฏิกิริยาของฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่อสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นนี้ ประธานาธิบดีพัค กึน-ฮเย (Park Geun-hye) แห่งเกาหลีใต้ แถลงว่า แถลงว่า นี่คือ “ยุคแห่งความหฤโหด” ในเกาหลีเหนือ ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหม อิสึโนริ โอโนเดระ (Itsunori Onodera) ของญี่ปุ่นบอกว่า นี่คือการนำเอาการปฏิวัติทางวัฒนธรรมในประเทศจีนมารีมิกซ์กันใหม่ ส่วนในแดนมังกรเอง ปักกิ่งกำลังแสดงออกให้เห็นถึงความยับยั้งชั่งใจที่เป็นเครื่องหมายการค้าของจีน โดยระบุว่า มันเป็นเพียง “กิจการภายใน” ของโสมแดง
สิ่งที่สามารถตีความหมายได้อย่างชัดเจนที่สุดจากสิ่งที่เกิดขึ้นในคราวนี้ก็คือ คิมกำลังบอกกับเกาหลีเหนือ, บอกกล่าวกับทั่วทั้งคาบสมุทรเกาหลี, ตลอดจนทั่วโลกโดยรวมว่า “ข้าคือคนคุมแถวนี้ อย่าได้บังอาจมายุ่งเกี่ยวกับเรื่องของข้า”
ทีนี้ลองมาดูรายละเอียดของสิ่งที่เกิดขึ้นกันบ้าง คิมน้อยนั้น ตั้งแต่ที่เขาขึ้นเถลิงครองบัลลังก์ผู้นำเกาหลีเหนือ ก็ได้มีการดำเนินการปรับปรุงโยกย้ายผู้ดำรงตำแหน่งต่างๆ อย่างต่อเนื่องทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกองทัพ (ทั้งนี้ตามคำบอกเล่าของกระทรวงการรวมชาติของเกาหลีใต้) ภาพสมมุติสถานการณ์ที่ดูอาจจะมีความเป็นไปได้มากที่สุดก็คือ การกวาดล้างจางนั้นดำเนินไปในแบบสโลว์โมชั่น เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่เมื่อสองสามเดือนก่อน ทว่าก็อาจจะเปิดฉากขึ้นตั้งแต่ก่อนหน้านั้นเสียอีกก็เป็นไปได้ เพราะทั้ง คิม อิลซุง และ คิม จองอิล ต่างระแวงสงสัยเสมอมาว่า เขาเป็นนักไต่เต้าทางสังคม (และโดยเฉพาะอย่างยิ่งนักไต่เต้าทางการเมือง) พวกผู้ช่วยของจางบางคนได้ถูกกำจัดแบบโหดๆ อย่างในหนังพัลป์ ฟิกชั่น ไปเรียบร้อยแล้ว แต่ผู้จัดการในเรื่องการเงินของเขาโชคดีมากที่อยู่ในประเทศจีน และได้รับการดูแลจากพวกเกาหลีใต้
ขออย่าได้เข้าใจผิดทีเดียวเชียว จางนั้นเป็นคนที่ทรงอำนาจอย่างยิ่งและเป็นคนที่มีเส้นสายโยงใยกับฝ่ายต่างๆ อย่างดียิ่ง เขาทรงอำนาจมากถึงขนาดที่การรณรงค์กวาดล้างผู้ที่ต้องสงสัยว่าเป็นสมัครพรรคพวกของเขา หรือที่รู้จักเรียกขานกันว่า การรณรงค์ “เข้ารับการศึกษาอบรมใหม่” –ถ้าแกไม่ยอมหันมาเคารพบูชาคิม เขาก็จะเล่นงานลงโทษแกอย่างสุดโหด— ซึ่งจะต้องเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้นหลังจากนี้ไปนั้น จะไม่ใช่สิ่งที่สามารถดำเนินการไปได้อย่างสะดวกง่ายดายเลย
เกาหลีเหนือกำลังมาถึงทางแยกสำคัญ และ จาง ก็เป็นผู้ที่ยืนอยู่ตรงจุดศูนย์รวมของทางแยกเหล่านี้ ทั้งนี้เราอาจจะกล่าวสรุปอย่างหยาบๆ ได้ว่า เขาเป็นหนึ่งในชนชั้นนำจำนวนไม่มากนักของโสมแดง ซึ่งตัดสินใจที่จะให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แก่การยกย่องเชิดชู “พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลี” เป็นอันดับหนึ่ง เพื่อเป็นการคานอำนาจฝ่ายทหาร และจากนั้นจึงจะสามารถเริ่มต้นดำเนินการอย่างเป็นเอกภาพกัน ในการเปิดกว้างระบบเศรษฐกิจของประเทศในบางระดับบางรูปแบบ
เราควรต้องระลึกเอาไว้เสมอว่า คิม จองอิล ผู้บิดาของ คิม จองอึน นั้น แรกเริ่มทีเดียวเคยกำหนดว่า นโยบายสำคัญที่สุดคือ “ทหารต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก” ทว่าในเวลาต่อมาเขาเริ่มต้นเบี่ยงเบนไปในอีกทางหนึ่งเพื่อเป็นการเตรียมการสำหรับให้บุตรชายขึ้นสืบทอดอำนาจต่อจากเขา คาดหมายได้ว่าเมื่อถึงยุคของเขา คิมน้อยก็ได้เลือกเลื่อนพวกเจ้าหน้าที่สายที่มีอำนาจอยู่ในพรรคเป็นจำนวนมาก ให้เข้าดำรงตำแหน่งสำคัญๆ และเวลานี้มนตร์บทที่ต้องท่องบ่นกันเป็นประจำในเกาหลีเหนือก็คือ พรรคต้องอยู่เหนือสิ่งอื่นใด ภายในบริบทเช่นนี้ จึงมีความสำคัญเช่นเดียวกันที่เราจะต้องสำรวจดูว่า พรรคผู้ใช้แรงงานเกาหลีนั้นมุ่งประณาม “อาชญากรรมต่างๆ” ของจาง โดยเน้นหนักที่เรื่องอะไรบ้าง
ในเกาหลีเหนือเวลานี้ หากจะดำเนินการปฏิรูปทางเศรษฐกิจอย่างสำคัญใดๆ ก็ตามที จะกระทำได้หรือไม่ ต้องขึ้นโดยตรงกับการที่พรรคสามารถมีอำนาจสูงสุดเหนือฝ่ายทหารหรือไม่ –เพราะเมื่อมีการเน้นย้ำเช่นนี้เท่านั้น พวกนักวางแผนเศรษฐกิจระดับท็อปของโสมแดง ซึ่งก็ล้วนแต่เป็นคนของพรรค จะได้สามารถเน้นย้ำว่าการพัฒนาทางเศรษฐกิจก็มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดพอๆ กับการผลิตขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์
นอกเหนือไปจากถูกกล่าวหาว่าพยายามทำรัฐประหารยึดอำนาจแล้ว จางก็เป็นผู้ปกป้องแก้ต่างอย่างเหนียวแน่นมั่นคงให้แก่การจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษของเกาหลีเหนือ ซึ่งมุ่งหมายที่จะดึงดูดเม็ดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ และให้โสมแดงสามารถส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ได้มากขึ้น (คล้ายๆ กับว่า เปียงยางกำลังหลงใหลการรีมิกซ์สิ่งที่ปักกิ่งเคยทำมาเมื่อช่วงต้นทศวรรษ 1980 นั่นแหละ) อันที่จริงเปียงยางก็กำลังเคลื่อนไปได้ทิศทางนี้อยู่แล้ว –ตัวอย่างเช่นมีการลงทุนในเรื่องโครงสร้างพื้นฐานทั้งในด้านถนน, ทางรถไฟ, และท่าเรือ ในบริเวณพื้นที่ชายแดนทั้งที่อยู่ติดกับจีนและอยู่ติดกับรัสเซีย แล้วก็ไม่ได้มีเฉพาะจีนกับรัสเซียเท่านั้นที่ต้องการจะเข้าไปลงทุนในเกาหลีเหนือ พวกผู้แข่งขันรายอื่นๆ ยังมีดังเช่น ฮ่องกง, ไต้หวัน, อินเดีย, อินโดนีเซีย, และมองโกเลีย
**การต่อรองเพื่อโก่งราคาค่าตัว**
เหมือนอย่างที่เป็นอยู่เสมอมา เรื่องอะไรทั้งหลายของเกาหลีเหนือมักมีอันต้องเกี่ยวข้องพาดพิงกับจีนไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง และเรื่องของจางก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่อยู่ในข่ายนี้ จางนั้นเป็นคนที่ใกล้ชิดกับปักกิ่ง –และตัวเขาเองก็ต้องการให้มีเม็ดเงินลงทุนจากจีนเป็นจำนวนมาก ยังไม่มีใครทราบว่าการกวาดล้างที่กำลังจะบังเกิดขึ้นคราวนี้จะกระทบกระเทือนธุรกิจมากน้อยแค่ไหน พวกที่เชื่อถือในทัศนะที่ว่าเกาหลีเหนือมีการปกครองการบริหารที่ไม่แตกต่างอะไรจากการดำเนินงานของพวกแก๊งผู้ร้ายอาชญากร จะมองการกวาดล้างครั้งนี้ว่าเป็นยุทธวิธีอย่างหนึ่งที่จะโก่งราคาค่าตัว สำหรับการที่เกาหลีเหนือจะ “ให้ความร่วมมือ” กับฝ่ายจีน
ความคิดเห็นเช่นนี้ก็ใช่ว่าจะเลยเถิดเกินความเป็นจริง เปียงยางนั้นต้องพึ่งพาอาศัยจีนอย่างเหลือเกิน แต่ก็จะไม่เคยยอมปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นเพียงแค่หุ่นเชิดเลย พม่านั้นได้แสดงให้เห็นแล้วว่าควรจะต้องทำอย่างไร โดยที่พวกเขาสามารถแสดงบทบาทในเรื่องนี้ได้อย่างสวยงาม อีกทั้งแตกต่างไปจากเกาหลีเหนือ ตรงที่ไม่ต้องมีส่วนประกอบโหดๆ แบบหนังเรื่องพัลฟ์ ฟิกชั่น ทั้งนี้ในขณะที่ปิดประตูประเทศอยู่อย่างโดดเดี่ยวแบบฤาษีและต้องพึ่งพาอาศัยจีนอย่างสิ้นเชิงมานานปี แต่พอวันดีคืนดีพม่าก็ประกาศ “เปิดประตู” และดำเนินการ “กระจายความเสี่ยง” ในทันที โดยมุ่งผูกสัมพันธ์กับหุ้นส่วนหลายๆ ฝ่าย รวมทั้งฝ่ายตะวันตกด้วย
สิ่งที่แน่นอนก็คือ นโยบายสูงสุดของคิม จองอึน ซึ่งก็คือ พรรคผู้ใช้แรงงานจะต้องแข็งแกร่งเท่าเทียมหรือกระทั่งเข้มแข็งยิ่งกว่าฝ่ายทหารนั้น จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแต่อย่างใด ส่วนสำหรับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นต่อจากนี้นั้น มีความเป็นไปได้ที่คิมน้อยกระทั่งอาจจะเพิ่มบทหักมุมพลิกความคาดหมายกันบ้าง เป็นต้นว่าสั่นสะเทือนขวัญผู้คนทั่วโลกด้วยการเปิดฉากทดสอบยิงขีปนาวุธติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ หรืออวดอ้างว่ากำลังจัดการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์อีกรอบหนึ่ง เพื่อกระตุ้นให้เกิด “ความสามัคคีเกาะเกี่ยวกันภายใน” ทั้งนี้ ชาวเกาหลีเหนือ –ยังไม่ต้องพูดถึงชาวเกาหลีใต้, ชาวญี่ปุ่น, และชาวอเมริกัน— จะต้องตระหนักรับรู้ข้อความที่คิมน้อยตั้งใจส่งออกมาอย่างแน่นอน --อย่าได้ไปยุ่งกับเขาทีเดียว ไม่ยังงั้นเขาจะเล่นงานคุณอย่างสุดโหด
เปเป้ เอสโคบาร์ เป็นผู้เขียนหนังสือเรื่อง Globalistan: How the Globalized World is Dissolving into Liquid War (Nimble Books, 2007), Red Zone Blues: a snapshot of Baghdad during the surge (Nimble Books, 2007), และ Obama does Globalistan (Nimble Books, 2009) ทั้งนี้สามารถติดต่อเขาทางอีเมลได้ที่ pepeasia@yahoo.com.