เอเอฟพี - ผู้คนพากันต่อแถวยาวเหยียดบริเวณด้านนอกร้านค้าการกุศลแห่งหนึ่งในกรุงลอนดอนเมื่อวันศุกร์(22) หลังวิกตอเรียและเดวิด เบ็คแฮม สองซูเปอร์สตาร์คนดังบริจาคเสื้อผ้าและรองเท้าราคาแพงจำนวนมากให้แก่สมาคมกาชาดอังกฤษ เพื่อนำไปจำหน่าย นำรายได้สมทบกองทุนช่วยเหลือเหยื่อพายุไต้ฝุ่นไห่เยี่ยนในฟิลิปปินส์
รองเท้าและเสื้อผ้าของอดีตนักร้องวงสไปซ์เกิร์ลส์ ที่ผันตัวมาเป็นดีไซเนอร์แฟชัน และสามีอดีตนักฟุตบอลคนดัง ถูกนำออกมาจำหน่ายที่ร้านค้าของสำนักงานกาชาดในย่านเชลซี กลางกรุงลอนดอน ในราคาสูงสุดแค่ชิ้นละ 100 ปอนด์ (ราว 5,100 บาท) ถูกกว่าราคาดั้งเดิมเป็นอย่างมาก
รายงานข่าวระบุว่า ผู้คนต่างมาต่อแถวยืนรออยู่หน้าร้าน 2 ชั่วโมงก่อนปิดทำการในความหวังได้สินค้าราคาถูก แม้ว่าเสื้อผ้าส่วนใหญ่ของวิกตอเรีย เบ็คแฮม จะมีขนาดเล็กกว่าขนาดตัวเฉลี่ยนของผู้หญิงทั่วไปก็ตาม
“เราต้องปิดเร็วกว่าปกติเพราะมันขายหมดเกลี้ยงเลย ทุกอย่างขายหมดอย่างรวดเร็ว” ลอรา ฮิงค์ส โฆษกสภากาชาดบอกกับเอเอฟพี “เสื้อผ้าถูกวางขายในราคาที่สมเหตุสมผล เดวิดและวิกตอเรียต้องการให้ทุกคนได้ซื้ออะไรติดมือกลับไป”
เครื่องแต่งกายทั้งหมดที่สามีภรรยาเบ็คแฮมนำมามอบให้เป็นการกุศลล้วนเป็นผลงานของนักออกแบบชื่อดัง ไม่ว่าจะเป็น “โดลเช แอนด์ แกบบานา” และ “โรแบร์โต คาวัลลี” ทั้งนี้ยังไม่ทราบว่าการวางขายในวันศุกร์ (22) สามารถระดมทุนได้เท่าไหร่ แต่การบริจาคแบบเดียวกันนี้ของวิกตอเรีย เบ็คแฮม ที่มอบแก่โครงการรณรงค์ต่อสู้โรคมะเร็งในปี 2010 เคยได้เงินเกือบ 7,000 ปอนด์(ราว 350,000 บาท)
ฮิงค์ส บอกว่าคู่รักบันลือโลกคู่นี้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่คนอื่นๆ “ทั้งสองคนหวังว่าโครงการนี้จะช่วยส่งเสริมให้คนอื่นๆ เข้าไปยังร้านค้าของสภากาชาดอังกฤษสาขาท้องถิ่นและบริจาคเสื้อผ้า”
ในตู้โชว์ของร้านจะพบเห็นเสื้อสูทสีขาวและเสื้อเชิ้ตสีดำของอดีตกัปตันทีมชาติอังกฤษ เช่นเดียวกับเสื้อยืดของสาวพอร์ชและแจ็คเก็ตสีขาวสกีนข้อความ “สไปซ์ เกิร์ลส์” ขณะเดียวกันทางร้านก็ติดป้ายไว้ว่า “ท่านลูกค้าสามารถซื้อสินค้าของ วีบีหรือดีบี ได้แค่คนละชิ้นเท่านั้น”
ซูเปอร์ไต้ฝุ่นไห่เยี่ยน ที่ซัดถล่มตอนกลางของฟิลิปปินส์ จนหมู่บ้านหลายสิบแห่งพังพินาศเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน ได้คร่าผู้คนไปมากกว่า 5,200 ชีวิตและอีกจำนวนมากยังสูญหาย ขณะที่สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เผยจำนวนเงินบริจาคเข้ากองทุนสำหรับให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยชาวฟิลิปปินส์ล่าสุด ว่าอยู่ที่อย่างน้อย 128 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 4,070.4 ล้านบาท) จากที่ตั้งเป้าเอาไว้ 301 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 9,571.8 ล้านบาท)