xs
xsm
sm
md
lg

Weekend Focus:ก่อการร้ายกลางเมืองหลวงเลบานอน กับการ “ไหลล้น” ของความรุนแรงจาก “สงครามซีเรีย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เหตุระเบิดฆ่าตัวตายรวมสองครั้งซ้อนที่เกิดขึ้นในย่านญินาห์ ใกล้กับสถานเอกอัครราชทูตอิหร่าน กลางกรุงเบรุต นครหลวงของเลบานอนเมื่อวันอังคารที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา จนมีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 23 รายและได้รับบาดเจ็บไม่ต่ำกว่า 160 คน ถือเป็นหนึ่งในเหตุการณที่ช็อกความรู้สึกของผู้คนทั่วโลกมากที่สุดเหตุการณ์หนึ่งในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมาและถือเป็นการก่อวินาศกรรมครั้งแรกในรอบหลายปีที่เกิดขึ้นในเลบานอนนับตั้งแต่สิ้นสุดยุคสงครามกลางเมืองปี 1975 –1990

เหตุระเบิดครั้งแรกซึ่งถูกจุดโดย “มือระเบิดฆ่าตัวตาย” ที่ตามติดมาด้วยเหตุระเบิดครั้งที่สองที่เป็น “คาร์บอมบ์” ภายในระยะเวลาห่างกันไม่ถึง 2 นาทีเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ขณะที่อาคารบ้านเรือนจำนวนมากถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหาย รวมถึง ด้านหน้าของสถานทูตอิหร่านประจำกรุงเบรุต โดยหนึ่งในบุคคลสำคัญที่ต้องจบชีวิตจากเหตุก่อวินาศกรรมครั้งนี้ คือ “เอบราฮิม อันซารี” ผู้ช่วยทูตฝ่ายวัฒนธรรมของอิหร่าน ขณะที่กาซันฟาร์ รอคนาบาดี เอกอัครราชทูตอิหร่าน รอดชีวิตอย่างหวุดหวิด

แม้หลังเกิดเหตุ มาร์ซีห์ อัฟคาม โฆษกหญิงของกระทรวงการต่างประเทศอิหร่านจะออกแถลงที่กรุงเตหะรานโดยพุ่งเป้าไปที่ “อิสราเอล”ว่าอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมกลางเมืองหลวงของเลบานอน แต่แล้วในภายหลัง ความจริงก็เริ่มปรากฏว่าแท้จริงแล้ว เหตุสะเทือนขวัญที่เกิดขึ้นเป็นผลงานระดับ “มาสเตอร์พีซ” ของกลุ่มติดอาวุธหัวรุนแรงของพวกมุสลิมซุนนีที่มีชื่อว่า “Abdullah Azzam Brigades”

กลุ่มหัวรุนแรงซุนนีที่ว่านี้ออกมาอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุระเบิดทั้ง 2 ครั้งในเบรุต โดยระบุ เป็นการแก้แค้นต่อรัฐบาลอิหร่านและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอนที่ต่างเป็นพวกมุสลิมชีอะห์ และให้การสนับสนุนระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาดแห่งซีเรียที่เป็นพวกมุสลิมอะลาวิต (แขนงหนึ่งของชีอะห์) ขณะที่กลุ่มหัวรุนแรงดังกล่าวเป็นหนึ่งในกองกำลังฝ่ายกบฏในซีเรียที่จับอาวุธขึ้นทำสงครามโค่นล้มรัฐบาลอัสซาด

ถ้อยแถลงของกลุ่ม Abdullah Azzam Brigades เรียกร้องให้รัฐบาลเตหะราน และกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ยุติการหนุนหลังรัฐบาลซีเรียในทันที หรืออาจต้องเผชิญกับ “ผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึง” ของการก่อวินาศกรรมระลอกใหม่

ดังนั้น จึงไม่เป็นการเกินเลย หากหลายฝ่ายจะสรุปตรงกันว่า เหตุวินาศกรรมกลางกรุงเบรุตเมื่อวันอังคาร(19)เป็นผลพวงโดยตรงจาก “การไหลล้น” ของวิกฤตความขัดแย้งและสงครามกลางเมืองในซีเรีย ที่ปะทุขึ้นตั้งแต่เดือนมีนาคมปี 2011 และดำเนินยืดเยื้อมานานเกินกว่า 2 ปีครึ่ง

ย้อนกลับไปเมื่อกว่า 1 ปีมาแล้ว รัฐบาลอัสซาดกำลังระส่ำระสายอย่างหนักและสุ่มเสี่ยงต่อการล่มสลายเมื่อต้องเผชิญกับกลุ่มกบฏที่รับการสนับสนุนโดยตรงทั้งทางการเงินและอาวุธยุทโธปกรณ์จากบรรดาชาติเศรษฐีอาหรับแถบอ่าวเปอร์เซียทั้งซาอุดีอาระเบีย กาตาร์และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งต่างเป็นพวกมุสลิมซุนนี และต้องการกำจัดบาชาร์ อัล-อัสซาดออกไปพ้นจากตะวันออกกลาง

อย่างไรก็ดี สถานการณ์เริ่มพลิกผัน เมื่อรัฐบาลซีเรียที่กำลังง่อนแง่นได้รับการสนับสนุนจากพันธมิตรชีอะห์อย่างรัฐบาลอิหร่านและนักรบหลายพันชีวิตของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์แห่งเลบานอนที่ตบเท้าหลั่งไหลเข้ามาช่วยรัฐบาลซีเรียสู้รบกับกบฎ ตลอดจนได้รับการปกป้องประดุจ “ไข่ในหิน” จากรัฐบาลรัสเซียที่ขัดขวางทุกๆการแทรกแซงจากนานาชาติในเวทีโลก

เป็นที่แน่ชัดว่า การคงอยู่ของรัฐบาลซีเรียมีความสำคัญยิ่งต่อฝ่ายชีอะห์ที่นำโดยอิหร่านและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ที่มีศัตรูรอบด้านในตะวันออกกลางทั้งอิสราเอล รวมถึงชาติอาหรับที่ส่วนใหญ่เป็นพวกมุสลิมซุนนี เห็นได้ชัดจากคำกล่าวของอดีตประธานาธิบดีมะห์มูด อะห์มาดิเนจัด แห่งอิหร่าน ที่เพิ่งก้าวลงจากอำนาจเมื่อกลางปีที่ระบุชัดเจนว่า “หากอิหร่านสูญเสียอัสซาด อิหร่านจะต้องสูญเสียทุกอย่าง”

สงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อจนใกล้ย่างเข้าสู่ขวบปีที่ 3 ในซีเรีย จึงมิได้เป็นความขัดแย้งที่ถูกจำกัดวงอยู่แต่ในซีเรียอีกต่อไป การไหลล้นของความขัดแย้งที่เริ่มเข้าสู่เลบานอนเป็นหนึ่งในสิ่งบ่งชี้ว่า สงครามกลางเมืองในซีเรียมิใช่แค่การต่อสู้กันของระบอบอัสซาดกับฝ่ายกบฏ แต่อาจกลายเป็นสมรภูมิของการต่อสู้ระหว่างมุสลิมชีอะห์และมุสลิมซุนนีในภูมิภาค ที่ต่างฝ่ายต่างก็ต้องการ “ลบอีกฝ่ายหนึ่งออกจากแผนที่” ตะวันออกกลาง

ดังนั้น เหตุก่อวินาศกรรมกลางกรุงเบรุตของเลบานอนเมื่อวันอังคาร (19) จึงอาจเป็นเพียง “จุดเริ่มต้น” ของความขัดแย้งที่ยิ่งใหญ่กว่า และน่าสะพรึงกลัวกว่าสงครามในซีเรีย ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่ต้องรับกรรมสาหัสที่สุด คงหนีไม้พ้นประชาชนตาดำๆ นั่นเอง




กำลังโหลดความคิดเห็น