เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - ประธานาธิบดี เอโมมาลี รัคมอน ทำพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งผู้นำทาจิกิสถานเป็นสมัยที่ 4 ในวันเสาร์ (16) หลังคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายในการเลือกตั้งซึ่งถูกตั้งข้อกังขาจากนานาชาติเมื่อช่วงต้นเดือน
สำนักข่าวอาร์ไอเอ โนวอสติ ของรัสเซียรายงานจากกรุงดูชานเบ เมืองหลวงของทาจิกิสถาน ดินแดนที่ได้ชื่อว่ายากจนที่สุดของภูมิภาค “เอเชียกลาง” ระบุว่า ประธานาธิบดีรัคมอน วัย 61 ปี ซึ่งอยู่ในอำนาจมาตั้งแต่ปี 1992 ทำพิธีสาบานตนรับตำแหน่งต่ออีกสมัยในวันเสาร์ (16) โดยให้คำมั่นว่าตลอดวาระการดำรงตำแหน่งอีก 7 ปีนับจากนี้ เขาจะมุ่งมั่นต่อสู้กับปัญหาความยากจนที่รุมเร้าประชากรกว่า 47 เปอร์เซ็นต์ของประเทศอยู่ในเวลานี้ รวมถึงจะหาทางปลดแอกประเทศให้ก้าวสู่ความเป็นอิสระทางด้านพลังงาน
ผู้นำทาจิกิสถานซึ่งจะได้อยู่อำนาจต่อไปจนถึงปี 2020 ยืนยันด้วยว่าจะยังคงไว้ซึ่งนโยบาย “เปิดประตู” ซึ่งหมายถึงการเสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีกับทุกประเทศ โดยไม่สนใจความแตกต่างทางการเมืองและศาสนาต่อไป โดยเขาหวังว่านโยบายนี้จะช่วยดึงดูดนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาในทาจิกิสถาน
ทั้งนี้ ชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนของ รัคมอน ถูกวิจารณ์จากบรรดาผู้สังเกตการณ์นานาชาติ ที่ระบุว่า เป็นการเลือกตั้งที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล กลโกง และยังขาดความเป็นธรรม หลังจากที่รัคมอนได้คะแนนเสียงถึง 84 เปอร์เซ็นต์ และมีการใช้สื่อของรัฐในการหาเสียงอย่างขนานใหญ่ ขณะที่ผู้สมัครอีก 5 รายแทบไม่เป็นที่รู้จักของประชาชน
ทาจิกิสถานซึ่งเป็นบ้านของประชากรราว 8 ล้านคน และมีสภาพทางภูมิศาสตร์เป็นภูเขาสูงปกคลุมพื้นที่มากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของประเทศ กำลังอยู่ในช่วงการฟื้นฟูประเทศหลังต้องเผชิญภาวะสงครามกลางเมืองระหว่างปี 1992-1997 แต่การพัฒนาของทาจิกิสถานที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ส่งออกฝ้าย อะลูมิเนียม และยูเรเนียม รายสำคัญ ต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่คือปัญหาการขาดแคลนพลังงาน ที่ส่งผลให้ในทุกวันนี้ประชาชนชาวทาจิกมีกระแสไฟฟ้าใช้ไม่เพียงพอ ขณะที่ในกรุงดูชานเบ เมืองหลวงของประเทศต้องมีการหยุดจ่ายไฟนานวันละหลายชั่วโมง