เอเอฟพี – รัฐมนตรีคนสำคัญของศรีลังกาออกมาปฏิเสธแรงกดดันจากสหราชอาณาจักร ซึ่งเรียกร้องให้นานาชาติสอบสวนการก่ออาชญากรรมสงครามที่เชื่อว่าเกิดขึ้นระหว่างที่กองทัพศรีลังกาใช้กำลังกวาดล้างกบฎทมิฬจนราบคาบเมื่อ 4 ปีก่อน โดยยืนยันว่ารัฐบาลโคลัมโบจะไม่ยอมให้มีการสอบสวนเช่นนั้นเกิดขึ้น “อย่างแน่นอน”
บาซิล ราชปักษา รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นน้องชายแท้ๆ ของประธานาธิบดี มหินทะ ราชปักษา ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีวันนี้ (16) ว่า “ทำไมต้องให้นานาชาติเข้ามาสอบสวนด้วยเล่า? เราไม่เห็นด้วย แน่นอนว่าเราจะไม่ยอมให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น”
ถ้อยแถลงของรัฐมนตรีผู้นี้มีขึ้นภายหลังจากนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน แห่งสหราชอาณาจักร ขู่ว่าจะผลักดันให้คณะมนตรีสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) เข้ามาสอบสวนเรื่องนี้ หากภายในเดือนมีนาคมปีหน้ารัฐบาลศรีลังกายังไม่คลายข้อกังขาเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเกิดขึ้นในช่วงก่อนสงครามแบ่งแยกดินแดนจะสิ้นสุดลงในปี 2009
รัฐบาลศรีลังกาเองก็ได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อกล่าวหานี้ พร้อมกับยืนยันเสียงแข็งว่า ไม่มีพลเรือนถูกสังหารหมู่ในปฏิบัติการกวาดล้างกลุ่มกบฏพยัคฆ์ทมิฬอีแลมอย่างแน่นอน ขณะที่องค์การสหประชาชาติและนักสิทธิมนุษยชนประเมินว่า อาจมีพลเรือนผู้บริสุทธิ์สังเวยชีวิตไปไม่น้อยกว่า 40,000 คน
รัฐมนตรี ราชปักษา ยังปฏิเสธที่จะเอ่ยถึงกำหนดเส้นตายเดือนมีนาคม ปี 2014 ที่อังกฤษขีดให้รัฐบาลศรีลังกาต้องดำเนินการสอบสวนเองให้เสร็จสิ้น
“พวกเขาจะกำหนดเวลาไม่ได้ มันไม่ยุติธรรม คาเมรอน เองก็ยอมรับว่าเราต้องการเวลา ปัญหาไอร์แลนด์เหนือเองก็ยังต้องใช้เวลาเจรจานานหลายปี”
ผู้นำอังกฤษได้สร้างความเดือดดาลต่อกรุงโคลัมโบด้วยการเดินทางไปเยี่ยมเยียนชาวทมิฬในเขตจาฟนา ทางตอนเหนือของศรีลังกา เมื่อวานนี้ (15) ภายหลังจากการประชุมสุดยอดผู้นำกลุ่มประเทศเครือจักรภพเริ่มขึ้นที่เมืองหลวงเพียงไม่กี่ชั่วโมง
คาเมรอน ระบุว่ารู้สึกสะเทือนใจกับคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักไป และจนบัดนี้ยังไม่สามารถกลับไปอาศัยอยู่ในภูมิลำเนาเดิมของตนได้
นายกรัฐมนตรีแคนาดา, อินเดีย และมอริเชียส ต่างปฏิเสธที่จะเข้าร่วมประชุมที่กรุงโคลัมโบ เพื่อประท้วงประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยรัฐบาลศรีลังกา
