รอยเตอร์ – จำนวนประชากรยากจนในสหรัฐฯ ยังคงอยู่ที่ราวๆ 50 ล้านคนในปีที่แล้ว ทว่าโครงการสวัสดิการสังคมของรัฐบาลช่วยบรรเทาผลกระทบลงได้บ้าง โดยเฉพาะในส่วนของเด็กและผู้สูงวัย ข้อมูลจากรัฐบาลกลางสหรัฐฯระบุวานนี้(6)
สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรสหรัฐฯ (The Census Bureau) ซึ่งใช้เกณฑ์วัดที่แตกต่างจากเส้นแบ่งความยากจนที่รัฐบาลใช้ ระบุว่า จำนวนคนยากจนในอเมริกาแทบไม่แตกต่างจาก 1 ปีก่อนหน้า คือราวๆ 16% ของพลเมืองทั้งประเทศ
อย่างไรก็ดี หากไม่นับการลดหย่อนภาษี, เงินสวัสดิการสังคม และสิทธิประโยชน์อื่นๆด้วยแล้ว กลุ่มประชากรที่ยากจนที่สุด, เด็ก และผู้สูงวัย จะเพิ่มสูงขึ้นกว่านี้
รายงานชิ้นนี้เป็นข้อมูลเสริมจากสถิติความยากจนอย่างเป็นทางการที่สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรได้เผยแพร่เมื่อเดือนกันยายน ซึ่งระบุว่า ในปี 2012 มีพลเมืองอเมริกันใช้ชีวิตอย่างอัตคัดขัดสนถึง 47 ล้านคน หรือประมาณ 15% ของพลเมืองทั้งประเทศ ไม่แตกต่างจากเมื่อปี 2011
ขณะที่เกณฑ์วัดความยากจนอย่างเป็นทางการจะมองที่รายได้เป็นหลัก แต่เกณฑ์ที่สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากรใช้จัดทำรายงานชิ้นนี้จะคำนึงถึงปัจจัยอื่นๆ รวมไปถึงความแตกต่างด้านค่าครองชีพในแต่ละพื้นที่ และความช่วยเหลือซึ่งคนยากจนได้รับจากสวัสดิการรัฐด้วย
“หากไม่มีเงินช่วยเหลือจากรัฐบาล ประชาชนอีกหลายล้านคนจะต้องอยู่ในสภาพยากจนในปี 2012” เชลดอน แดนซิเกอร์ ประธานสถาบันวิจัยสังคมศาสตร์แห่งมูลนิธิ Russell Sage ระบุ
รายงานชิ้นนี้ยังตอกย้ำให้เห็นว่า ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงในช่วงปี 2007-2009 ยังคงมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวอเมริกันมาจนถึงทุกวันนี้
เงินสวัสดิการสังคมที่รัฐบาลจ่ายให้ผู้สูงอายุและคนพิการมีบทบาทอย่างยิ่งในการต่อสู้ความยากจน หากปราศจากวงเงินเหล่านี้ จำนวนคนยากจนในสหรัฐฯ จะเพิ่มเป็น 25% ไม่ใช่ 16% สำนักงานสำรวจสำมะโนประชากร ระบุ
เส้นความยากจนที่รัฐบาลสหรัฐฯใช้ในปัจจุบันอยู่ที่ 23,283 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี (ราว 728,000 บาท) สำหรับ 1 ครอบครัวที่มีผู้ใหญ่ 2 คน และเด็ก 2 คน