เอเอฟพี - สถาบันวิจัยชั้นนำของสหรัฐฯ ออกรายงานชี้ว่า เกาหลีเหนือมีความคืบหน้าไม่หยุดยั้ง และอาจผลิตขีปนาวุธข้ามทวีปรุ่นแรกที่สามารถติดตั้งหัวรบนิวเคลียร์ขนาดเบาและยิงไกลถึงอเมริกาได้ ขณะที่หน่วยข่าวกรองของโสมขาวก็ระบุว่า โสมแดงเล็งใช้เทคโนโลยีรัสเซียมาพัฒนาอาวุธรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อก่อกวนอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทางทหาร ส่วนทางสื่อแดนปลาดิบเผย ญี่ปุ่นกำลังชั่งใจขยายกองเรือพิฆาตติดตั้งระบบเอจิสไว้รับมือภัยคุกคามจากทั้งเกาหลีเหนือและจีน
ก่อนหน้านี้ผู้เชี่ยวชาญจำนวนมากพากันล้อเลียนเยาะเย้ยแบบจำลองขีปนาวุธข้ามทวีป KN-08 ที่เปียงยางนำมาโชว์ในพิธีสวนสนามเมื่อปีที่แล้วและกลางปีนี้ว่าเป็น “การแหกตาครั้งใหญ่”
ทว่า เมื่อวันอังคาร (5) เว็บไซต์ 38 นอร์ธ ของสถาบันอเมริกา-เกาหลี มหาวิทยาลัยจอห์น ฮอปกินส์ แย้งว่า KN-08 “ปลอมน้อยกว่า” ที่เคยคิดไว้ อีกทั้งบ่งชี้ความคืบหน้าต่อเนื่องในการพัฒนา แม้เกาหลีเหนือมีเทคโนโลยีจำกัดก็ตาม
แบบจำลองดังกล่าวบ่งบอกความสามารถในการประกอบชิ้นส่วนและเทคโนโลยี เพื่อสร้างขีปนาวุธที่มีพิสัยทำการในทางทฤษฎี 5,500 กม. จนถึงกว่า 11,000 กิโลเมตร โดยมีความสามารถติดหัวรบนิวเคลียร์ขนาดเบารุ่นแรกที่ยิงได้ไกลอย่างน้อยถึงเมืองซีแอตเติล มลรัฐวอชิงตัน ซึ่งอยู่ทางชายฝั่งภาคตะวันตกของสหรัฐฯ
บทวิเคราะห์ในเว็บไซต์นี้เขียนโดยเจฟฟรี ลูอิส ผู้เชี่ยวชาญที่ทำงานโดยไม่หวังผลกำไร และจอห์น ชิลลิง วิศวกรอวกาศ
ในเอกสารทางเทคนิคอีกชิ้นที่ตีพิมพ์ในวารสารไซนส์ แอนด์ โกลบัล ซีเคียวริตี้ นั้น ชิลลิงย้ำว่า KN-08 ยังอยู่ในขั้นตอนการพัฒนาซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานเป็นเดือนหรือเป็นปี
ทั้งนี้ รายงานของลูอิสและชิลลิงอ้างอิงการวิเคราะห์ภาพถ่ายดาวเทียมที่บ่งชี้ว่า เปียงยางกำลังปรับปรุงสถานที่ยิงจรวด ซึ่งเป็นไปได้ว่าเพื่อเตรียมไว้สำหรับอาวุธเคลื่อนที่ขนาดใหญ่ขึ้น
อย่างไรก็ดี ว่ากันว่า จุดอ่อนของโครงการนิวเคลียร์โสมแดงนั้นอยู่ที่การบังคับให้ขีปนาวุธพุ่งลงสู่เป้าหมาย
ในอีกด้านหนึ่ง สำนักงานข่าวกรองแห่งชาติของเกาหลีใต้ (NIS) แถลงต่อรัฐสภาในวันอังคารเช่นกันว่า ตลอดปีนี้เกาหลีเหนือได้ทดสอบเครื่องยนต์สำหรับจรวดพิสัยไกลมาแล้ว 5 ครั้ง และการทดสอบเบื้องต้นสำหรับ KN-08 อาจเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ
นอกจากนั้น NIS ยังรายงานว่า เปียงยางจัดซื้ออาวุธรังสีแม่เหล็กไฟฟ้า (EMP) จากรัสเซียเพื่อนำมาพัฒนาอาวุธของตนเองภายใต้เป้าหมายในการทำให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ทางทหารขัดข้อง โดยอาวุธชนิดนี้มีอานุภาพสูงสุดคือ สร้างความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐานของเครื่องบินหรือวัตถุอื่นๆ
รายงานสำทับว่า คิม จองอึน ผู้นำเกาหลีเหนือมองว่า การโจมตีทางไซเบอร์เป็นอาวุธเอนกประสงค์เช่นเดียวกับอาวุธนิวเคลียร์และขีปนาวุธ โดยขณะนี้เปียงยางกำลังพยายาม “แฮก” สมาร์ทโฟนและหลอกล่อให้ชาวเกาหลีใต้เป็นผู้แจ้งเบาะแสข้อมูล
ที่ผ่านมาเกาหลีเหนือสามารถเก็บข้อมูลสถานที่จัดเก็บสารเคมีและน้ำมันสำรอง รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวกับระบบรถไฟใต้ดิน อุโมงค์ และเครือข่ายรถไฟในเมืองสำคัญของเกาหลีใต้
NIS เสริมว่า ขณะนี้จารชนเกาหลีเหนือกำลังดำเนินการอยู่ในจีนและญี่ปุ่น เพื่อเผยแพร่โฆษณาชวนเชื่อสนับสนุนเปียงยาง โดยเชื่อว่า เกาหลีเหนือมีกองทัพนักรบไซเบอร์ถึง 3,000 คน
เดือนที่แล้ว สมาชิกรัฐสภาเกาหลีใต้เปิดเผยโดยอ้างอิงข้อมูลของรัฐบาลว่า เกาหลีเหนือโจมตีทางไซเบอร์ต่อเกาหลีใต้มานับพันครั้งในช่วงไม่กี่ปีมานี้ สร้างความเสียหายเป็นมูลค่าถึง 805 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเรื่องนี้เปียงยางโต้กลับว่า เป็นการกุข่าวของโซลเพื่อทำให้สถานการณ์ระหว่างสองประเทศตึงเครียด
ขณะเดียวกัน หนังสือพิมพ์โยมิอุริ ชิมบุง รายงานในวันอังคารโดยอ้างแหล่งข่าวที่ไม่เปิดเผยชื่อว่า ญี่ปุ่นกำลังพิจารณาขยายกองเรือพิฆาตติดตั้งระบบเอจิส หรือระบบสกัดกั้นขีปนาวุธขั้นสูง จากจำนวน 6 ลำเป็น 8 ลำเพื่อรับมือภัยคุกคามจากการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ รวมทั้งความตึงเครียดจากการแย่งสิทธิ์เหนือหมู่เกาะในทะเลจีนตะวันออกกับจีน
ทั้งนี้ สึโยชิ ฮิราตะ รัฐมนตรีกลาโหมแถลงว่า กำลังพิจารณาเพิ่มจำนวนเรือพิฆาตติดตั้งเอจิสจริง โดยหวังบรรจุแผนการนี้ในโครงการกลาโหมพื้นฐานที่จะมีการพิจารณาปลายปีนี้ ขณะที่โยมิอุริทิ้งท้ายว่า เรือพิฆาตรุ่นใหม่สามารถเข้าประจำการได้ภายในระยะเวลา 10 ปี