เอเอฟพี – เวนิสออกกฎใหม่สำหรับควบคุมเรือที่แล่นผ่านคลองชื่อดังเมื่อวานนี้ (4 พ.ย.) ภายหลังที่เกิดเหตุเรือ กอนโดลา ชนกับเรือข้ามฟากเมื่อเดือนสิงหาคม จนเป็นเหตุให้มีนักท่องเที่ยวชาวเยอรมนีเสียชีวิตในคลอง “แกรนด์แคแนล” หนึ่งราย
ชาวเมืองเวนิสต่างพากันขุ่นเคืองที่ต้องเข้าแถวยาวเป็นหางว่าว เพราะมีการลดจำนวนเรือโดยสารข้ามฟากที่แล่นผ่าน แกรนด์แคแนล ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่มุ่งลดปัญหาการจราจรแออัดที่เกิดในลำคลองสายนี้อยู่บ่อยครั้ง
นอกจากนี้ ระดับน้ำในคลองที่เพิ่มสูงขึ้นเมื่อวาน (4) เนื่องจากกระแสลม และกระแสน้ำยังได้เพิ่มความสับสนอลหม่านขึ้นไปอีก เมื่อเกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่ของเมือง ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นทุกปีที่เรียกว่า “aqua alta” (น้ำขึ้นสูง)
“แผนดำเนินการด้านความปลอดภัยในการคมนาคมกำลังจะนำมาบังคับใช้ทีละน้อย โดยเริ่มใช้วันนี้เป็นวันแรก และจะทำไปเรื่อยๆ ในช่วงสัปดาห์ถัดๆ ไป” ซามูเอเล กอสตันตินี โฆษกของนายกเทศมนตรีจีออร์จีโอ ออร์โซนี แห่งเมืองเวนิส ระบุ
ในเดือนนี้เป็นช่วงที่เรือกอนโดลา มีกำหนดจะต้องติดป้ายทะเบียนเรือ และไฟส่องทางแบบรถยนต์ เพื่อทำให้สามารถมองเห็นได้ชัดขึ้น แต่ดูเหมือนว่า ในบรรดาเรือหลายสิบลำซึ่งจอดอยู่ที่จัตุรัสเซนต์มาร์กนั้นจะยังไม่มีลำไหนเลยที่ทำตามกฎ
ขณะเดียวกัน คนพายเรือในชุดเสื้อลายทาง สวมหมวกฟาง อันเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนเข้ามาในเมืองแห่งนี้ ก็ประสบความสำเร็จในการขอยกเว้นไม่ติดระบบจีพีเอสนำทาง โดยแย้งว่าเรือที่แล่นอย่างเนิบช้าเช่นนี้ คงจะไม่จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยอย่างนั้น
สำหรับอุบัติเหตุเรือกอนโดลาซึ่งเกิดขึ้นในเดือนสิงหาคมนั้น คนพายเรือกอนโดลา 2 คน และคนขับข้ามฟาก “วาโปเรตโต” กำลังถูกสอบสวนหาตัวผู้กระทำผิดที่เป็นต้นเหตุให้ โยอาคิม โวเกล อาจารย์มหาวิทยาลัยชาวเยอรมันเสียชีวิต ขณะกำลังล่องเรือกอนโดลาพร้อมกับครอบครัวอย่างเพลิดเพลิน เมื่อเรือข้ามฟากพุ่งชนพวกเขา
เหตุสลดที่เกิดขึ้นนี้ได้เติมเชื้อไฟ ให้กับความตึงเครียดที่มีมายาวนานแล้ว ระหว่างผู้ควบคุมเรือข้ามฟากวาโปเรตโต และคนพายเรือกอนโดลา ที่ต่างฝ่ายต่างโทษกันว่าเป็นต้นเหตุของอุบัติเหตุคราวนั้น นอกจากนี้ยังทำให้เจ้าหน้าที่เมืองเวนิส ต้องออกมาตรการควบคุมการจราจรทางน้ำ
ทั้งนี้ ก่อนหน้าที่จะมีการออกกฎควบคุมเรือใหม่นั้น มีเรือสัญจรผ่านไปมาในคลองแกรนด์แคแนล เฉลี่ยวันละ 3,000 ลำ ตลอดทั้งสองฟากฝั่งของทางน้ำสายนี้ เรียงรายไปด้วยอาคารใหญ่โตที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 และ 18 โดยบรรยากาศอันคึกคักและหรูหราเช่นนี้ถือเป็นทัศนียภาพอันโดดเด่น ที่สร้างแรงบันดาลในการสร้างสรรค์ผลงานของเหล่ากวีและศิลปินมานานหลายศตวรรษแล้ว