เอพี/เอเอฟพี - ประธานาธิบดีบารัค โอบามา แห่งสหรัฐฯ เรียกสมาชิกระดับแกนนำของเดโมแครตและรีพบลิกันเข้าหารือที่ทำเนียบขาวในวันพุธ (2) หลังการปิดหน่วยงานรัฐบาลส่วนล่วงเข้าสู่วันที่ 3 ด้วยปราศจากสัญญาณแห่งการผ่านพ้นอุปสรรคใดๆ โดยทั้งสองพรรคบ่งชี้ว่าเหตุทางตันด้านร่างงบประมาณอาจยืดเยื้อนานหลายสัปดาห์และมีสิทธิ์แผ่ลามห้อมล้อมศึกขยายเพดานหนี้ที่รออยู่เบื้องหน้า ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเลวร้ายยิ่งกว่า
สำนักงานของนายจอห์น โบห์เนอร์ ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากพรรครีพับลิกัน บอกว่าเขาจะเข้าร่วมหารือที่ทำเนียบขาว ตามคำเชิญที่เปรียบเสมือนสัญญาณบ่งชี้ว่าประธานาธิบดีโอบามา พร้อมแล้วสำหรับเริ่มเจรจาต่อรองกับข้อเรียกร้องของรีพับลักันที่ต้องการให้แก้ไขตัดทอนกฎหมายประกันสุขภาพใหม่เพื่อแลกกับงบประมาณของรัฐบาล โดยนอกจากนายโบห์เนอร์ แล้ว ผู้ที่เข้าร่วมประชุมที่ทำเนียบขาว ยังรวมไปถึง แฮร์รี รีด ประธานวุฒิสภาสังกัดพรรคเดโมแครต มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำวุฒิสมาชิกเสียงข้างน้อยของรีพับลิกัน และแนนซี เพโลซี แกนนำเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนราษฎรของเดโมแครต
โอบามา ยืนกรานมาตลอดว่าจะไม่ยอมให้รีพับลิกันใช้ร่างงบประมาณรายจ่ายที่จำเป็นนี้เป็นตัวขัดขวางกฎหมายปฏิรูประบบสาธารณสุข ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของเขา ส่วนที่ปรึกษาของโอบามาบอกในวันพุธ (2) ว่าประธานาธิบดีจะใช้โอกาสนี้เร่งเร้าสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรรีพับลิกันผ่านร่างงบประมาณโดยปราศจากข้อเรียกร้องใดๆ
“เรายินดีที่ท้ายสุดแล้ว ท่านประธานาธิบดีก็ยอมรับว่าไม่สามารถหลีกหนีการเจรจาได้” เบรนดัน บูค โฆษกของโบห์เนอร์ กล่าว “แต่ก็ยังมีข้อสงสัยอยู่ว่า ทำไมเราถึงมีการประชุมนี้หากมันไม่ได้มีจุดมุ่งหมายเจรจากันอย่างจริงจังระหว่างสองพรรค”
ความขุ่นเคืองของประชาชนหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆ ตามหลังการปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ บางส่วนเป็นครั้งแรกในรอบระยะเวลา 17 ปี อันมีต้นตอจากสภาผู้แทนราษฎรที่มีรีพับลิกันครองเสียงส่วนใหญ่ ยืนกรานเห็นชอบอัดฉีดงบรายจ่ายแก่หน่วยงานต่างๆ ของรัฐบาลกลางตามยอดเดิมที่เคยได้ไปพลางก่อนจนกระทั่งถึงวันที่ 15 ธันวาคม แต่มีเงื่อนไขว่าจะต้องมีการชะลอการบังคับใช้กฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพ ซึ่งเรียกขานกันว่า “โอบามาแคร์” อย่างไรก็ตาม ความพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าของ ส.ส.รีพับลิกัน ก็ถูกขัดขวางจากวุฒิสภาที่เดโมแครตถือครองเสียงข้างมาก
ด้วยเส้นตายของปีงบประมาณหมดลงในช่วงเที่ยงคืนวันจันทร์ (30 ก.ย.) จึงเป็นผลให้ลูกจ้างรัฐหลายแสนคนต้องพักงานโดยไม่ได้รับเงินเดือน นักท่องเที่ยวไม่สามารถเข้าชมอนุสาวรีย์ พิพิธภัณฑ์ และอุทยานแห่งชาติแห่งต่างๆ มีเพียงหน่วยงานซึ่งถือว่าสำคัญชนิดหยุดทำการไม่ได้ เป็นต้นว่า การควบคุมจราจรทางอากาศ ที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนับจากวันอังคาร (1 ต.ค.) ขณะที่กระทรวงต่างๆ และกระทั่งทำเนียบขาว ก็จะเหลือเพียงพนักงานหลักๆ จำนวนน้อยนิดที่มาทำงาน
ขณะเดียวกัน ปัญหาชัตดาวน์ยังส่งผลให้โอบามาต้องงดแวะมาเลเซียและฟิลิปปินส์ระหว่างเยือนเอเชียสัปดาห์หน้า และยังไม่แน่ว่าจะเข้าร่วมซัมมิตสำคัญในบาหลีและบรูไนหรือไม่ ถือเป็นความเสียหายต่อนโยบาย “ปักหมุด” ในเอเชียของเขา
แม้ขัดขวางความพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าของวุฒิสภาที่นำโดยเดโมแครต แต่ก็มี ส.ส.รีพับลิกันบางส่วน ก็เห็นด้วยกับข้อเรียกร้องของ โอบามา ต่อการผ่านพระร่างกฎหมายงบประมาณรายจ่ายอย่างตรงไปตรงมาโดยไม่ผูกติดกับการเพิ่มเพดานหนี้
ข้อพิพาทนี้ด้านงบประมาณนี้ได้ก่อความแตกแยกภายในรีพับลิกัน โดยสายอนุรักษ์นิยมที่เคยต่อต้านกฎหมายปฏิรูประบบประกันสุขภาพนี้เมื่อปี 2010 โต้แย้งว่ามันจะกัดเซาะการจ้างงานและจำกัดสิทธิเสรีภาพด้วยการบังคับใช้อเมริกันชนต้องมีประกันสุขภาพ แต่รีพับลิกันคนอื่นๆ กังวลว่าพรรคจะถุกกล่าวโทษว่าเป็นต้นตอของการปิดหน่วยงานรัฐและอาจเจอผลย้อนกลับในศึกเลือกตั้งสภาคองเกรสในปีหน้า
ในวันพุธ (2) เช่นกัน โอบามามีแผนหารือกับเหล่าซีอีโอของบริษัททางการเงินรายใหญ่ที่สุดของประเทศ 19 แห่ง ในความพยายามเน้นย้ำให้เห็นว่าพวกธุรกิจขนาดใหญ่ก็ล้วนต่อต้านการปิดหน่วยงานรัฐ ขณะที่สภาหอการค้าสหรัฐฯ ได้ส่งหนังสือถึงสภาคองเกรสเรียกร้องไม่เอาการชัตตดาวน์และเตือนต่อวิกฤตขยายเพดานหนี้ ซึ่งพวกเขามองว่าอาจนำไปสู่หายนะผิดนัดชำระหนี้
ทั่วทั้งอเมริกาในวันพุธ(2) ต้องปิดกั้นทางเข้าสถานที่อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศหลายแห่ง ไล่ตั้งแต่รูปปั้นเทพีสันติภาพในนิวยอร์ก ไปจนถึงอนุสาวรีย์วอชิงตัน ส่วนนักท่องเที่ยวก็ถูกกันให้อยู่ห่างจากแกรนด์ แคนยอน รวมถึงพิพิธภัณฑ์และอุทยานแห่งชาติต่างๆที่ได้รับผลกระทบ
อย่างไรก็ตาม มีอยู่อย่างหนึ่งที่ไม่ได้ผลกระทบก็คือ กฎหมายประกันสุขภาพ ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้วเมื่อ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา โดยในวันแรกที่เปิดให้ผู้ที่ยังไม่มีประกันสุขภาพ สามารถซื้อประกันทางออนไลน์ได้ผ่านเว็บไซต์ก็ได้รับความสนใจอย่างมากจนเว็บล่มเลยทีเดียว
ทั้งนี้ มีความกังวลหนักหน่วงขึ้นเรื่อยๆว่าการต่อสู้ทางงบประมาณที่ทำหน่วยงานรัฐบาลกลางเป็นอัมพาตอยู่ในขณะนี้ อาจตามมาด้วยการเผชิญหน้าในศึกขยายเพดานหนี้ของประเทศ ที่มีสิทธิ์นำพาสหรัฐฯเข้าสู่ภาวะผิดนัดชำระหนี้ที่จะส่งผลกระทบเลวร้ายต่อเศรษฐกิจ ด้วยฝ่ายรีพับลิกัน ที่ผิดหวังต่อกรณีไม่มีเสียงขานรับประนีประนอมมาจากเดโมแครต ขู่ผูกโยงทั้งสองประเด็นนี้เข้าด้วยกัน
การส่งสัญญาณดังกล่าวไม่ใช่แค่จะทำให้ภาวะหน่วยงานรัฐอาจยืดเยื้อนานกว่า 2 สัปดาห์ แต่การต่อสู้ด้านขยายเพดานหนี้นี้ยังจะสร้างความตื่นตระหนกแก่ตลาดทุนโลกด้วย ขณะที่ เจค็อบ ลิว รัฐมนตรีกระทรวงการคลังสหรัฐฯ เตือนเมื่อวันอังคาร (1) งบประมาณของรัฐบาลที่มีอยู่น่าจะสามารถใช้ได้จนถึงวันที่ 17 ตุลาคมนี้เท่านั้น โดยหลังจากนั้น จะเหลือเงินสดในบัญชีเพียง 30,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ในรายการสำคัญๆ อย่างมาก
อนึ่ง ทั้งการเพิ่มเพดานหนี้และการผ่านร่างงบประมาณถูกทำให้สลับซับซ้อนจากความพยายามของพรรครีพับลิกันที่จะใช้ร่างกฎหมายที่จำเป็นต้องผ่านสภาเป็นเครื่องมือเพื่อขัดขวางกฎหมายประกันสุขภาพของประธานาธิบดีโอบามา ที่รู้จักกันในชื่อ “โอบามาแคร์” ไม่ให้สามารถมีผลบังคับใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย