รอยเตอร์ – กองทัพซีเรียได้สังหารพลเรือน, ทิ้งระเบิดใส่โรงพยาบาล และก่ออาชญากรรมสงครามอีกหลายประเภทเพื่อที่จะยึดเมืองคืนจากฝ่ายกบฏในปีนี้ ขณะที่กองกำลังกบฏซึ่งมีพวกนักรบอิสลามิสต์ต่างชาติรวมอยู่ด้วย ก็ได้กระทำความผิดที่เข้าข่ายอาชญากรรมสงครามหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการประหารศัตรู, จับตัวประกัน และยิงปืนใหญ่ถล่มย่านที่พักอาศัยของพลเรือน รายงานจากองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุวันนี้ (11)
คณะกรรมการไต่สวนว่าด้วยกรณีซีเรียได้เผยรายงานฉบับล่าสุด ซึ่งครอบคลุมช่วงเวลาตั้งแต่ 15 พฤษภาคม - 15 กรกฎาคม ปีนี้
“ทั้ง 2 ฝ่ายได้ละเมิดกฎหมายนานาชาติโดยที่ไม่เกรงบทลงโทษใดๆ จึงควรต้องมีการเอาผิดตามกระบวนการยุติธรรม” คณะกรรมการไต่สวนซึ่งมี เปาโล พินเฮโร เป็นประธาน เผย
ผู้เชี่ยวชาญอิสระกลุ่มนี้ได้ทราบมาว่า อาวุธเคมี “ส่วนใหญ่ถูกนำออกมาใช้โดยทหารฝ่ายรัฐบาลซีเรีย... แต่จากหลักฐานที่มีอยู่เวลานี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่ามีการใช้จริงหรือไม่, ใช้ร่วมกับอาวุธประเภทใด และใช้โดยฝ่ายใด”
คณะผู้ตรวจสอบ 20 คนได้ขอสัมภาษณ์ผู้ลี้ภัยซีเรีย, ผู้แปรพักตร์จากรัฐบาล และคนกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งสิ้น 258 ครั้งในประเทศเพื่อนบ้านของซีเรียและที่นครเจนีวา โดยบางส่วนเป็นการสอบถามผ่านสไกป์ จนกระทั่งสรุปเป็นรายงานฉบับที่ 11 เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากรัฐบาลดามัสกัสให้เดินทางเข้าไปในซีเรีย แม้จะยื่นคำร้องไปหลายครั้งแล้วก็ตาม
รายงานฉบับนี้ยังเรียกร้องให้ทุกฝ่ายคิดหาวิธีทางการเมืองที่จะยุติเหตุนองเลือด และขอให้ทุกประเทศ “หยุดส่งอาวุธเข้าไปในซีเรีย ตราบใดที่ยังเห็นความเสี่ยงว่าอาวุธเหล่านั้นจะถูกนำไปใช้ละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ”