รอยเตอร์/เอเจนซีส์ - กองทัพเรือสหรัฐฯ สั่งเปลี่ยนเส้นทางเดินเรือของกองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานนิวเคลียร์มุ่งหน้าสู่ทะเลแดง เพื่อเตรียมพร้อมหากประธานาธิบดีบารัค โอบามาสั่งเปิดฉากโจมตีซีเรีย โดยก่อนหน้านี้เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz เพิ่งเสร็จภารกิจจากการรบในอัฟกานิสถาน ที่แต่เดิมกองทัพเรือสหรัฐฯ สั่งให้มุ่งหน้ากลับฐานเอเวอร์เรตต์ วอชิงตัน โดยในระยะเวลากว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา กองทัพเรือสหรัฐฯได้เสริมกำลังพลเพิ่มเป็น 2 เท่าในแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียนเหนือ รวมทั้งเพิ่มการลาดตระเวนของเรือพิฆาตเป็น 5 ลำในแถบนั้น จากที่เคยลาดตระเวนเพียง 3 ลำ
ในขณะที่สถานการณ์ซีเรียอยู่ในช่วงสูญญากาศหลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ บารัค โอบามา ได้เปลี่ยนใจที่จะขอให้สภาคองเกรสรับรองการใช้กำลังทางทหารโจมตีซีเรีย ทำให้กองทัพเรือสหรัฐฯ ต้องตัดสินใจส่งกองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz (CVN-68) มุ่งหน้าสุ่ทะเลแดง และอาจจะเข้าไปที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน แหล่งข่าวกองทัพเรือสหรัฐฯเผยกับรอยเตอร์ “การสั่งให้กองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz ไปประจำในบริเวณนั้นเป็นการชิงความได้เปรียบทางกลยุทธเพื่อการโจมตี” และแหล่งข่าวผู้นี้ยังเผยต่อไปว่า แต่ไม่ทราบแน่ชัดว่ากองเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz จะเข้าสู่น่านน้ำทะเลแดงเมื่อไหร่
นอกจากนี้ แหล่งข่าวกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ เผยว่า “ทางกองทัพสหรัฐฯ พยายามที่จะเตรียมตัวให้พร้อมตลอดเวลาหากได้รับคำสั่งจากทางวอชิงตัน” และเขาย้ำว่าจุดประจำการของขุมกำลังสหรัฐฯ ยังอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการตัดสินใจจากข้างบน
ทั้งนี้ ในวันเสาร์ (31) ที่ผ่านมา โอบามาได้เลื่อนปฏิบัติการโจมตีซีเรียทางอากาศด้วยขีปนาวุธโทมาฮอว์กที่ยิงจากเรือพิฆาต5 ลำ ที่ประจำการอยู่ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนตะวันออก จนกว่าจะได้รับไฟเขียวจากสภาคองเกรส ซึ่งจะทำให้ต้องหยุดปฎิบัติการทางทหารเป็นเวลาอย่างน้อยกว่า 9 วัน โดยตามจริงแล้ว เรือพิฆาต 3 ลำ ได้ประจำการอยู่แถวนั้นเพื่อสกัดขีปนาวุธข้ามทวีปของอิหร่านไปที่ยุโรป โดยเรือพิฆาตอีก 2 ลำ ที่ถูกเสริมเข้ามานั้นได้รับมอบหมายให้ปฎิบัติภารกิจยาวนานขึ้นจากสถานการณ์ที่พัฒนาของซีเรียตามลำดับ
และการที่เลื่อนปฏิบัติการโจมตีทางทหารออกไปในครั้งนี้ ทำให้ทางกองทัพสามารถวางขุมกำลังให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้อย่างเหมาะสมก่อนจะเปิดฉากรบ ซึ่งแหล่งข่าวคนเดิมย้ำว่า การโจมตีซีเรียต้องเจาะจงและอยู่ในวงจำกัดเท่านั้น
โดยในสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้เพิ่มกำลังพลเป็น 2 เท่าในบริเวณทางตะวันออกของน่านน้ำแถบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเสริมการลาดตระเวนของเรือพิฆาตเป็น 5 ลำ จากที่เคยลาดตระเวนเพียง 3 ลำ ซึ่งเรือพิฆาตนั้นบรรทุกจรวดโทมาฮอว์กราว 200 ลูก แต่แหล่งข่าวกล่าวว่า เป็นเพราะการจำกัดขอบเขตการรบทำให้คาดว่าจำนวนขีปนาวุธโทมาฮอว์กนั้นจะลดลงเหลือครึ่งหนึ่ง เป็นเพราะสถานการณ์ที่ยังอยู่ในช่วงสูญญากาศ ทำให้กองทัพเรือสหรัฐฯ ตัดสินใจเปลี่ยนเส้นทางเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz ที่เพิ่งเสร็จภารกิจในอัฟกานิสถานโดยมีเรือบรรทุกเครื่องบิน USS Harry S Truman เข้าทำหน้าที่แทน โดยกำหนดการเดิม เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Nimitz นั้นจะต้องมุ่งหน้ากลับฐานทัพเรือเอเวอร์เรตต์ ในสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ทางกองทัพเรือสหรัฐฯ ได้ตัดสินใจส่งเรือรบ USS San Antonio (LPD-17) ซึ่งเป็นเรือสะเทินน้ำสะเทินบก ที่บรรทุกทหารเรือกว่า 300 นายพร้อมอุปกรณ์การสื่อสารเพื่อสนับสนุนปฎิบัติการเรือพิฆาตโจมตี ที่ก่อนหน้านั้นเรือรบ USS San Antonioอยู่ในปฎิบัติการอื่นทางตะวันตกที่ห่างไกลออกไป โดยแหล่งข่าวเผยว่า เรือสะเทิ้นน้ำสะเทิ้นบก USS San Antonioจะเป็นฐานสั่งการชั่วคราวในระหว่างปฎิบัติภารกิจ และยังสามารถช่วยอพยพพลเรือนได้อีกด้วย
นอกจากนี้ เรือรบ USS Kearsarge เป็นเรือบรรทุกเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ ได้รับคำสั่งให้มุ่งหน้าไปยังทะเลแดง โดยแหล่งข่าวเผยว่ายังไม่มีปฏิบัติการสำหรับเรือรบลำนี้ ซึ่งเรือรบ USS Kearsarge (LHD-3) นั้นบรรทุกเฮลิคอปเตอร์ AV-8B Harrier 6 ลำ เครื่องบินใบพัดหมุน V-22 Ospreys จำนวน 10-12 ลำ และรวมถึงเฮลิคอปเตอร์อื่นๆ