เอเอฟพี - นักวิเคราะห์ชี้แผนโจมตีซีเรียของชาติตะวันตกน่าจะเป็นเพียงมาตรการตอบโต้เชิงสัญลักษณ์ โดยมีเป้าหมายอยู่ที่กองทัพ, หน่วยข่าวกรอง และสถานที่ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับรัฐบาล แต่จะไม่รุนแรงถึงขั้นโค่นล้มประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ลงได้
มาตรการตอบโต้ทางทหารจะมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อลงโทษและป้องปรามประธานาธิบดี อัสซาด ไม่ให้แตะต้องอาวุธเคมี มากกว่าจะบั่นทอนแสนยานุภาพของกองทัพซีเรีย หรือช่วยให้กบฏกลับมาเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างชัดเจน
เจฟฟรีย์ ไวท์ จากสถาบันวอชิงตันเพื่อการวิเคราะห์นโยบายตะวันออกใกล้ (Washington Institute for Near East Policy) ระบุว่า “เป้าหมายเฉพาะเจาะจงอาจจะเป็นศูนย์บัญชาการในกรุงดามัสกัส, ฐานทัพ หรือหน่วยสนับสนุนของกองกำลังติดอาวุธที่ 4 และกองกำลังรีพับลิกันการ์ด ซึ่งเป็นสองหน่วยงานหลักที่ปฏิบัติการทิ้งระเบิดโจมตีที่พักอาศัยของพลเรือน
“กองกำลังนานาชาติอาจโจมตีหน่วยงานระดับสูงของกองทัพและหน่วยข่าวกรอง ตลอดจนศูนย์ควบคุมและสั่งการปฏิบัติการทางทหารรอบๆ เมืองหลวงด้วย”
กองกำลังรีพับลิกันการ์ด ซึ่งเป็นหน่วยรบที่เพียบพร้อมด้วยอาวุธอันทันสมัย และผ่านการฝึกซ้อมมาอย่างดีที่สุดของซีเรีย อยู่ภายใต้การบัญชาการของมาเฮอร์ อัล-อัสซาด น้องชายประธานาธิบดี โดยมีหน้าที่คุ้มกันเมืองหลวงดามัสกัสโดยเฉพาะ
สหรัฐฯ และพันธมิตรเรียกร้องให้มีการส่งทหารเข้าตอบโต้อัสซาด หลังมีข่าวว่าทหารฝ่ายรัฐบาลซีเรียใช้อาวุธเคมีสังหารประชาชนไปนับพันศพเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ขณะที่หลายฝ่ายเตือนไม่ให้รัสเซียและอิหร่านซึ่งเป็นมิตรที่เหนียวแน่นของอัสซาดเข้าแทรกแซงเรื่องนี้
ผู้สันทัดกรณีคาดหมายว่า สหรัฐฯ และชาติตะวันตกอาจสั่งยิงขีปนาวุธแบบร่อนจากเรือดำน้ำ, เรือรบ หรือแม้กระทั่งเครื่องบินรบที่ประจำการอยู่นอกน่านฟ้าและน่านน้ำของซีเรีย
พล.อ.แวงซองต์ เดสปอร์ตส์ อดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเตรียมทหาร Ecole de Guerre ของฝรั่งเศส ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า การโจมตีซึ่งจะมีขึ้น “คงเป็นเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการสู้รบทางทหารอย่างจริงจัง”
“มันคือการตอบโต้เพื่อฟื้นความน่าเชื่อถือของโลกตะวันตก ซีเรียจะข้าม “เส้นแดง” ที่ โอบามา เคยประกาศไว้โดยที่ไม่ถูกตอบโต้เลยไม่ได้ ไม่เช่นนั้นสหรัฐฯเองก็จะเสียชื่อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีอิหร่านเข้ามาเกี่ยวด้วย”
“แต่การตอบโต้จะเกินขอบเขตไปก็ไม่ได้ เพราะหากประธานาธิบดีอัสซาดเสียชีวิต หรือระบอบซีเรียล่มสลาย เหตุจลาจลและนองเลือดจะยิ่งลุกลามสู่ระดับชาติ ซึ่งจะถือเป็นความล้มเหลวทางยุทธศาสตร์ไม่ต่างจากกรณีของลิเบีย”
เดสปอร์ตส์เห็นด้วยว่า การโจมตีน่าจะเกิดขึ้นในวงจำกัด และพุ่งเป้าไปยังสถานที่ซึ่งมีความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น สำนักงานรัฐบาล, ศูนย์บัญชาการกองทัพ, ฐานทัพอากาศ หรือแม้แต่ทำเนียบประธานาธิบดี แต่ต้องมั่นใจว่าอัสซาดไม่ได้อยู่ที่นั่น
มุมมองดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลจากแหล่งข่าวในรัฐบาลตะวันตกหลายชาติ ซึ่งบ่งชี้ไปในทางเดียวกันว่า มาตรการตอบโต้ซีเรียจะเป็นไปอย่างจำกัดทั้งในด้านสถานที่และเวลา
การโจมตีที่อาจมีขึ้นเร็วๆนี้คงไม่รุนแรงมากพอที่จะบั่นทอนแสนยานุภาพของกองทัพซีเรีย หรือช่วยให้กบฏเป็นฝ่ายได้เปรียบ แม้ตะวันตกจะเชื่อว่า ปฏิบัติการครั้งนี้น่าจะก่อความแตกแยกภายในรัฐบาล, กดดันให้ผู้นำระดับสูงแปรพักตร์จากอัสซาด หรือสร้างความฮึกเหิมให้กับฝ่ายกบฏได้บ้างก็ตาม
คริสโตเฟอร์ ฮาร์เมอร์ นักวิเคราะห์ด้านยุทธนาวีจากสถาบันเพื่อการศึกษาด้านสงคราม (Institute for the Study of War) ชี้ว่า จรวดโทมาฮอว์กไม่สามารถทำลายกองทัพหรือศักยภาพด้านอาวุธเคมีของซีเรียได้ “ทำได้เพียงขัดขวางปฏิบัติการของทหารซีเรียไว้ชั่วคราวเท่านั้น”
“การเลือกโจมตีเป้าหมายในเชิงสัญลักษณ์เพื่อลงโทษอัสซาดจะแทบไม่มีผลอะไรเลยในด้านยุทธศาสตร์” ฮาร์เมอร์กล่าว
สหรัฐฯ มีจรวดโทมาฮอว์กราว 200 ลูกติดตั้งอยู่บนเรือรบ 4 ลำในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งฮารเมอร์ชี้ว่าเกินพอสำหรับปฏิบัติการโจมตีที่รุนแรงในระดับกลาง
อย่างไรก็ดี ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่เริ่มนับถอยหลังและเจตนารมณ์ชาติตะวันตกประกาศออกมาอย่างชัดเจน ผู้เชี่ยวชาญเชื่อว่าขีปนาวุธคงจะทำลายได้แค่เพียงอาคารเปล่าๆ ที่อัสซาดสั่งอพยพคนออกไปล่วงหน้าหลายวันแล้ว รวมถึงศูนย์บัญชาการและรันเวย์ที่ก็สามารถซ่อมแซมขึ้นมาใหม่ได้ไม่ยาก