เอพี – กระแสหวั่นวิตกกำลัแพร่กระจายไปในตะวันออกกลางเมื่อวานนี้ (28 ส.ค.) ว่าสหรัฐฯ จะเข้าโจมตีซีเรียซึ่งถูกกล่าวหาใช้อาวุธเคมีทำร้ายพลเรือน ขณะที่ขาวซีเรียราว 6,000 คนพากันอพยพลี้ภัยเข้าเลบานอนภายในช่วง 24 ชั่วโมงและชาวอิสราเอลต่างกว้านซื้อหน้ากากกันแก๊สพิษเพื่อเตรียมตั้งรับสถานการณ์ที่ซีเรียอาจหันมาตอบโต้แก้เผ็ดเอากับดินแดนแห่งนี้
บัน คีมุน เลขาธิการสหประชาชาติออกมาวิงวอนขอเวลาเพิ่มเติมสำหรับการเจรจาด้านการทูต และสำหรับให้เจ้าหน้าที่เข้าไปปฏิบัติภารกิจให้เสร็จสิ้น ทั้งนี้คณะผู้เชี่ยวชาญซึ่งสวมเสื้อเกราะกันกระสุนและหมวกนิรภัย ยังคงเก็บตัวอย่างเลือดและปัสสาวะจากเหยื่อขณะที่พวกเขาเดินทางไปยังหนึ่งในสถานที่ซึ่งถูกถล่มด้วยอาวุธเคมีเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
7 วันหลังจากอ้างกันว่ามีการใช้อาวุธเคมีแถบชานเมืองของกรุงดามัสกัส หลายบริเวณซึ่งกลุ่มกบฏยึดครองอยู่ กำลังมีแรงผลักดันทวีขึ้นที่จะให้กองทัพของชาติตะวันตกออกมาปฏิบัติการโจมตีระบอบการปกครองของประธานาธิบดีบาร์ อัล-อัสซาด แต่ในเวลาเดียวกัน รัสเซียและอิหร่านชาติพันธมิตรหลักของซีเรียก็ได้ออกมาเตือนถึงผลกระทบร้ายแรงที่อาจเกิดขึ้นกับภูมิภาคแถบนี้ หากมีการเข้าแทรกแซงด้วยกำลังอาวุธขึ้นมาจริงๆ
บรรดาผู้นำของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงรองประธานาธิบดีโจ ไบเดน กล่าวโทษรัฐบาลอัสซาดว่าอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีเมื่อวันที่ 21 สิงหาคม ซึ่งองค์การแพทย์ไร้พรมแดนระบุว่าทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 355 ราย ทำเนียบขาวแถลงว่ากำลังวางแผนที่จะตอบโต้ด้วยกำลังทหาร ขณะที่แสวงหาการสนับสนุนจากนานาชาติ
อย่างไรก็ตามสหรัฐฯ ยังไม่ได้แสดงหลักฐานที่เป็นรูปธรรมซึ่งพิสูจน์ว่าระบอบการปกครองซีเรียมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุจู่โจมครั้งนี้ และคณะผู้ตรวจสอบของยูเอ็น ก็ยังไม่ได้กล่าวยืนยันข้อกล่าวหาเหล่านี้ แม้ว่าลักห์ดาร์ บราฮิมี ทูตยูเอ็น ประจำซีเรียจะกล่าวว่าพบหลักฐานที่ชี้ว่ามีการใช้ “วัสดุ” บางอย่างที่ฆ่าคนหลายร้อยก็ตาม
ประธานาธิบดีบารัค โอบามากำลังประเมินวิธีการโต้ตอบแบบมีขอบเขต โดยมุ่งไปที่การลงโทษรัฐบาลซีเรียซึ่งละเมิดข้อตกลงนานาชาติด้วยการใช้อาวุธเคมี ทั้งนี้ทางการมะกันระบุว่า อะไรก็ตามที่สหรัฐฯ กระทำลงไปนั้น ไม่ได้เกิดจากเจตนาที่จะโค่นล้มระบอบการปกครองของอัสซาด หรือต้องการเปลี่ยนแปลงทิศทางของสงครามซีเรีย ซึ่งบัดนี้คร่าชีวิตคนไปแล้ว 100,000 ราย
ขณะที่สหรัฐฯ ฝรั่งเศส และอังกฤษเร่งผลักดันให้มีการปฏิบัติทางทหาร เลขาธิการใหญ่ของสหประชาชาติก็ออกมาเรียกร้องให้ยับยั้งชั่งใจไว้ก่อนเพื่อให้เวลาคณะตรวจสอบของยูเอ็น ได้ดำเนินขั้นตอนตรวจสอบหาหลักฐานที่เริ่มต้นขึ้นเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (26) ให้เสร็จสิ้นเสียก่อน
ทางด้านบาชาร์ จาฟารี เอกอัครราชทูตซีเรียประจำยูเอ็นแถลงว่า เขาได้ส่งหนังสือฉบับหนึ่งถึงบันเพื่อขอขยายเวลาให้คณะผู้ตรวจสอบได้ตรวจหาความจริงในเรื่องที่เขาระบุว่ามีการใช้อาวุธเคมีโจมตีทหารรัฐบาลซีเรีย 3 ครั้งที่บริเวณชานเมืองกรุงดามัสกัส โดยเขาระบุว่าเหตุถล่มดังกล่าวเกิดขึ้นในวันที่ 22 24 และ 25 สิงหาคม และในเวลานี้มีทหารซีเรียหลายสิบคนกำลังเข้ารับการรักษาตัวเพราะสูดดมแก๊สพิษเข้าไป
จาฟารียังได้กล่าวหาว่าการจู่โจมด้วยอาวุธเคมีที่เกิดขึ้นไม่ว่าครั้งไหนๆ ก็เป็นฝีมือของกลุ่มกบฏ พร้อมกับยืนยันว่า “รัฐบาลซีเรียเป็นผู้บริสุทธิ์”
**ชาวซีเรียอพยพหลั่งไหลไปเลบานอน**
มีชาวซีเรียอย่างน้อย 6,000 คนเดินทางข้ามด่านมัสนาเข้าไปในเลบานอนในช่วง 24 ชั่วโมง ซึ่งรวมถึง 4,000 คนที่เข้าไปเมื่อวานนี้ (27) ทั้งนี้ตามข้อมูลของเจ้าหน้าที่ด้านความมั่นคงของเลบานอนที่หุบเขาเบกา ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดน โดยปกติแล้วจำนวนผู้ลี้ภัยที่เดินทางเข้ามาในแต่ละวันคือ 500 ถึง 1,000 คน ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสงคราม เจ้าหน้าที่ผู้ขอให้สงวนชื่อตามกฎชี้แจง
อุม อะห์มัด ผู้หญิงคนหนึ่งที่เดินทางเข้าเลบานอนพร้อมกับลูกๆ ของเธอ 5 คนกล่าวว่าเธอกลัวว่าสหรัฐฯ จะโจมตีซีเรีย
“เหตุรุนแรงและการต่อสู้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในประเทศของเราตอนนี้ มันยังไม่เลวร้ายพออีกหรือ ตอนนี้สหรัฐฯ ถึงอยากระเบิดพวกเราไปด้วย” แม่วัย 45 ผู้นี้กล่าว โดยปฏิเสธที่จะแจ้งชื่อเต็มของเธอด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัย.
ชาวซีเรียเกือบ 2 ล้านคนได้อพยพออกจากประเทศแล้ว นับตั้งแต่สงครามปะทุขึ้นเมื่อเดือนมีนาคม ปี 2011 และอีกหลายล้านคนที่ต้องพลัดถิ่นอยู่ภายในซีเรียเอง
ทางด้านรัฐบาลอิสราเอลได้มีคำสั่งให้เรียกกำลังสำรอง “บางส่วน” เข้ารวมพลเพื่อเตรียมการป้องกันพลเรือน และให้หน่วยป้องกันภัยทางอากาศซึ่งอยู่ตามชายแดนเตรียมพร้อม ทั้งนี้ทางการอิสราเอลระบุว่า คาดหมายว่าจะมีกองทหารหลายร้อยคนเข้ามารวมพลครั้งนี้
ขณะที่ทางการอิสราเอลเชื่อว่าโอกาสที่ซีเรียจะโจมตีประเทศของพวกเขามีน้อย แต่ก็มีความกังวลกันว่าซีเรียอาจตอบโต้การปฏิบัติทางทหารที่นำโดยสหรัฐฯ ด้วยการหันมาโจมตีรัฐยิว ชาติพันธมิตรที่ใกล้ชิดกับสหรัฐฯ
ส่วนที่องค์การสหประชาชาติในนิวยอร์ก สมาชิกถาวร 5 ชาติของคณะมนตรีความไม่สามารถตกลงกันได้ในเรื่องที่อังกฤษเสนอมติให้มีการอนุญาตให้ใช้กำลังทหารเล่นงานซีเรีย