เอเอฟพี - วอชิงตันเตือนซีเรียเมื่อวันจันทร์ (26) จะต้องเผชิญกับปฏิบัติการตอบโต้ต่อเหตุโจมตีด้วยอาวุธเคมีที่ขัดต่อหลักศีลธรรม ท่ามกลางข่าวสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรเตรียมถล่มด้วยจรวดร่อนและใช้กำลังทหารแทรกแซงโดยไม่ผ่านความเห็นชอบจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ความเคลื่อนไหวอย่างมีนัยที่มีขึ้นหลังจากคณะผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติลงพื้นที่ชานกรุงดามัสกัสซึ่งถูกกล่าวหาว่ามีการใช้อาวุธเคมีเข่นฆ่าประชาชน
ท่ามกลางรายงานข่าวที่ระบุว่าสหรัฐฯ และชาติพันธมิตรกำลังเตรียมการการโจมตีด้วยจรวดร่อน (ครูซ มิสไซล์) จากเรือรบไปยังเป้าหมายทางการทหารของซีเรียและกองทหารปืนใหญ่ที่มีส่วนในการโจมตีด้วยอาวุธเคมี นายจอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐฯ ก็ออกมากล่าวหารัฐบาลประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด พยายามปิดซ่อนความจริง
“ขอผมพูดให้ชัดนะ การสังหารหมู่พลเรือนโดยไม่เลือกหน้า เข่นฆ่าผู้หญิงและเด็ก รวมถึงประชาชนผู้บริสุทธิ์ด้วยอาวุธเคมีนั้น เป็นการกระทำที่เลวทรามผิดศีลธรรม” แคร์รีอ่านถ้อยแถลงผ่านสถานีโทรทัศน์ “ไม่ว่าตามมาตรฐานใดๆ เรื่องแบบนี้มิอาจยกโทษให้ได้ แม้จะมีการแก้ตัวและพูดเล่นลิ้นว่าเป็นการจัดฉาก แต่มันปฏิเสธไม่ได้”
แคร์รีระบุว่า วอชิงตันจะได้รับหลักฐานเพิ่มเติมว่าใครอยู่เบื้องหลังเหตุโจมตีด้วยอาวุธเคมี และประธานาธิบดีบารัค โอบามา ตัดสินใจแล้วว่าผู้กระทำผิดต้องเผชิญกับผลที่ตามมา “เราได้รับข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการโจมตีนี้แล้ว ตอนนี้กำลังมีการรวบรวมและทบทวนข้อมูลร่วมกับพันธมิตรของเรา และเราจะให้ข้อมูลเหล่านั้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ประธานาธิบดีโอบามาเชื่อว่าผู้ที่ใช้อาวุธอันชั่วร้ายที่สุดในโลกต่อประชาชนผู้อ่อนแอที่สุดของโลกต้องรับผิดชอบ วันนี้ไม่มีอะไรที่น่ากังวลไปกว่านี้อีกแล้ว”
คำกล่าวของนายแคร์รี มีออกมาขณะที่คณะผู้ตรวจสอบของสหประชาชาติเดินทางไปเยี่ยมผู้รอดชีวิตจากเหตุโจมตีเมื่อสัปดาห์ที่แล้วในพื้นที่ชานกรุงดามัสกัส ซึ่งองค์การแพทย์ไร้พรมแดนบอกว่ามีผู้เสียชีวิตจากอาการได้รับพิษต่อระบบประสาทอย่างน้อย 355 ศพ ทั้งนี้ระหว่างการลงพื้นที่นั้น ขบวนรถของคณะผู้ตรวจสอบถูกลอบยิงโดยสไนเปอร์ อย่างไรก็ตามท้ายที่สุดแล้วก็สามารถฟันฝ่าเข้าไปเยี่ยมเหยื่อที่นอนรักษาตัวในโรงพยาบาลชั่วคราว 2 แห่งใกล้ๆ กัน
ฟาร์ฮาน ฮัก โฆษกของสหประชาชาติบอกว่า “มันเป็นวันที่ก่อประโยชน์อย่างยิ่ง” พร้อมระบุว่าคณะผู้ตรวจสอบที่นำโดยนายอเค เซลล์สตรอม ผู้เชี่ยวชาญชาวสวีเดนสามารถรวบรวมหลักฐานที่มีค่าไว้ได้
ส่วน บัน คีมูน เลขาธิการยูเอ็น ให้สัมภาษณ์ว่า แม้ต้องเจอกับสภาวะแวดล้อมที่เป็นอันตรายอย่างยิ่ง แต่ทีมตรวจสอบก็สามารถเข้าถึงโรงพยาบาล 2 แห่ง และได้ดำเนินการสอบถามผู้เห็นเหตุการณ์ ผู้รอดชีวิต รวมทั้งแพทย์ นอกจากนี้ยังมีการเก็บต้วอย่างบางส่วนกลับมาได้
การลงพื้นที่ของคณะตรวจสอบของยูเอ็นมีขึ้นขณะที่ดูเหมือนว่าชาติตะวันตกกำลังขยับเข้าใกล้การตอบโต้ทางทหารต่อซีเรีย หลังเจ้าหน้าที่ยืนยันว่ากองทัพเรือสหรัฐฯประจำการเรือรบติดอาวุธจรวดร่อนเตรียมพร้อมอยู่ทางตะวันออกของทะเลเมดิเตอร์เรเนียน
แม้คาดหมายว่าจีนกับรัสเซียจะคว่ำบาตรมติใดๆ ที่สนับสนุนการโจมตีทางทหาร แต่นายวิลเลียม เฮก รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษบอกว่าบางทีชาติตะวันตกอาจดำเนินการโดยปราศจากการสนับสนุนจากคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติอย่างสมบูรณ์ก็เป็นได้
อย่างไรก็ตาม ในขณะเดียวกัน นายอัสซาดได้ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์รัสเซียซึ่งเผยแพร่เมื่อวันจันทร์ (26) ปฏิเสธข้อกล่าวใดๆ ที่ว่ารัฐบาลของเขาอยู่เบื้องหลังการโจมตี โดยบอกว่าคำกล่าวหาเหล่านั้นละเมิดต่อความสมเหตุสมผล “สหรัฐฯ จะเผชิญหน้ากับความล้มเหลวเหมือนกับทุกๆ สงครามที่พวกเขาทำก่อนหน้านี้”
ส่วนนายเซอร์เก ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศของรัสเซีย ก็เตือนถึงผลลัพธ์ที่อันตรายร้ายแรงต่อความเป็นไปได้ในการใช้กำลังทหารเข้าแทรกแซงในซีเรีย และบอกว่าการแทรกแซงใดๆโดยปราศจากมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาตินั้นผิดกฎหมาย
สอดคล้องกับประธานาธิดีวลาดิมีร์ ปูติน ซึ่งยังคลางแคลงใจต่อหลักฐานเกี่ยวกับการใช้อาวุธนิวเคลียร์ และได้รับความคาดหมายว่าจะขัดขวางมติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติแน่ โดยนายปูตินบอกกับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษ ผ่านการหารือทางโทรศัพท์ในวันจันทร์ (26) ว่ายังไม่มีข้อพิสูจน์ว่าดามัสกัสใช้อาวุธเคมี ซึ่งสวนทางกับความเห็นของนายคาเมรอน ที่แทบไม่มีข้อสงสัยในเรื่องนี้เลย
ทั้งนี้ ในวันจันทร์(26) นายคาเมรอนได้ลดช่วงวันหยุดพักผ่อนลงและเดินทางกลับไปยังลอนดอน เพื่อวางแผนตอบโต้ต่อการใช้อาวุธเคมีของรัฐบาลซีเรีย ขณะที่ทางอังกฤษและฝรั่งเศส คือ 2 ชาติมหาอำนาจแถวหน้าของโลกที่เรียกร้องให้ดำเนินการอย่างหนักหน่วงต่อรัฐบาลของอัสซาดเช่นกัน