เอเจนซีส์ - เรือดำน้ำใช้เครื่องยนต์ดีเซลของอินเดีย ซึ่งเพิ่งได้รับกลับมาจากการส่งไปปรับปรุงซ่อมแซม่ให้ทันสมัยครั้งใหญที่รัสเซียเมื่อต้นปีนี้ ได้เกิดระเบิดและจมลงขณะจอดอยู่ที่ท่าเรือเมืองมุมไบเมื่อวันพุธ (14 ส.ค.) โดยที่มีทหารเรือติดอยู่ 18 คน ซึ่งคาดหมายกันว่าคงมีจำนวนหนึ่งเสียชีวิต ถือเป็นโศกนาฏกรรมครั้งร้ายแรงของกองทัพแดนภารตะที่กำลังเร่งยกระดับแสนยานุภาพไว้รับมืองกับการคุกคามจากชาติเพื่อนบ้ายยักษ์ใหญ่อย่างจีน
ภาพที่เผยแพร่ในเว็บไซต์สื่อสังคมเผยให้เห็นลูกไฟขนาดใหญ่เหนือท่าเรือนาวีในเมืองมุมไบ (บอมเบย์) ซึ่ง “ไอเอ็นเอส สินธุรักษัก” เรือดำน้ำใช้เครื่องยนต์ดีเซลจอดอยู่ และหลังจากการระเบิดเรือได้จมลงเกือบมิดลำ ขณะที่กองทัพเรือแดนภารตะแถลงว่า เรือดำน้ำซึ่งมีชื่อภาษาฮินดีที่แปลว่า “ผู้พิทักษ์ทะเล” ลำนี้ อยู่ในสภาพปักหัวทิ่มลงน้ำ เหลือเพียงส่วนเล็กๆ เท่านั้นที่ยังโผล่พ้นผิวน้ำ
ทีมนักประดาน้ำกองทัพเรือถูกส่งลงไปค้นหาผู้รอดชีวิต และรถดับเพลิง 16 คันร่วมกันดับไฟ ซึ่งต้องใช้เวลานานถึง 4 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 คนซึ่งอยู่ใกล้กับบริเวณที่เรือดำน้ำจอดอยู่ขณะเกิดระเบิด
อย่างไรก็ดี เรือลำน้ำอื่นๆ ที่จอดอยู่ใกล้เคียงในท่าเรือยุคอาณานิคมที่มีพนักงานกว่า 10,000 คน ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
เอ.เค. แอนโธนี รัฐมนตรีกลาโหมอินเดีย กล่าวในเวลาต่อมาว่า มีทหารบางคนที่ติดอยู่ในเรือดำน้ำลำนี้เสียชีวิต แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใดๆ เพียงกล่าวย้ำว่าว่า โศกนาฏกรรมนี้เป็นความสูญเสียครั้งสำคัญ
หลังจากนั้นในช่วงเย็นวันเดียวกัน กองทัพเรือได้แถลงว่าทีมประดาน้ำสามารถเข้าไปภายในเรือสินธุรักษัก ได้แล้ว และยังไม่พบสัญญาณใดๆ เกี่ยวกับการมีชีวิตอยู่ของลูกเรือทั้ง 18 คน
ก่อนหน้านี้ ทัพนาวีแดนภารตะระบุว่า การระเบิดที่เกิดขึ้นในช่วงหลังเที่ยงคืนวันอังคาร (13) มีแนวโน้มเป็นอุบัติเหตุ โดยขณะนี้กำลังเร่งสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง รวมทั้งเร่งช่วยเหลือลูกเรือที่ติดอยู่
ทางด้านนายทหารเรืออาวุโสผู้หนึ่งชี้ว่า สาเหตุอาจมาจากระบบแบตเตอรี่ แต่สำทับว่า เป็นเพียงสมมติฐานเบื้องต้นเท่านั้น
ขณะที่ พีวีเอส สาธิต โฆษกกองทัพเรือยืนยันว่า จุดที่เกิดไฟไหม้คือส่วนหน้าของเรือที่มีระบบแบตเตอรี่และตอร์ปิโดติดตั้งอยู่
ราหุล เบดี ผู้เชี่ยวชาญด้านกลาโหมของนิตยสารรายสัปดาห์ ไอเอชเอส เจนส์ ดีเฟนซ์ ตั้งข้อสังเกตว่า เรือดำน้ำลำที่เกิดเหตุนี้สร้างโดยรัสเซียในปี 1997 จึงไม่มีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัยบางอย่าง เช่น ทางหนีฉุกเฉิน
เหตุการณ์นี้ถือว่ารุนแรงที่สุดเท่าที่เคยเกิดขึ้นกับเรือดำน้ำของกองทัพเรืออินเดีย อีกทั้งชวนให้นึกย้อนไปถึงการระเบิดของเรือดำน้ำโจมตีติดอาวุธนิวเคลียร์ชื่อ “เคิร์สต์” ของรัสเซีย ที่จมลงใต้ทะเลบาเรนต์ในปี 2000 และลูกเรือ 118 คนเสียชีวิตทั้งหมด
สำหรับเรือสินธุรักษัก เพิ่งกลับสู่อินเดียเมื่อต้นปีนี้หลังจากถูกส่งไปปรับปรุงซ่อมแซมให้ทันสมัยครั้งใหญ่ในรัสเซียเป็นเวลาถึง 2 ปีครึ่ง เรือดำน้ำลำนี้เคยประสบอุบัติเหตุคล้ายๆ คราวนี้ในปี 2010 ที่ทำให้ทหารเรือเสียชีวิต 1 นายขณะจอดอยู่ที่ท่าเรือวิสาขปัตนัม ทางตอนใต้ของประเทศ
สินธุรักษั กเป็นเรือดำน้ำชั้น “กิโล” ขณะเกิดเหตุคราวนี้อยู่ระหว่างการปฏิบัติภารกิจปกติ ดังนั้น จึงบรรจุขีปนาวุธและตอร์ปิโดเต็มพิกัด
พลเรือเอกอรุณ ปรากาช อดีตผู้บัญชาการทหารเรืออินเดีย ชี้ว่าบนเรือดำน้ำลำดังกล่าวมีทั้งตอร์ปิโด ขีปนาวุธ เชื้อเพลิง ก๊าซไฮโดรเจนและออกซิเจน และอาวุธ ดังนั้น ความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงได้
กองทัพเรืออินเดียถือว่าประสบอุบัติเหตุน้อยกว่ากองทัพอากาศ ที่เกิดเหตุเครื่องบินขับไล่มิก-21 ที่ผลิตโดยรัสเซีย ตกหลายครั้งในช่วงหลายปีมานี้
อย่างไรก็ดี กองเรือดำน้ำของแดนภารตะซึ่งปัจจุบันมีเรือรวม 14 ลำ กำลังมีความจำเป็นเร่งด่วนในการปรับปรุงให้ทันสมัย ทว่า กระบวนการดังกล่าวต้องล่าช้าลงไป จากการตัดสินใจของรัฐบาลที่กำลังต่อสู้กับข้อกล่าวหาคอร์รัปชัน
ขณะเดียวกัน ความพยายามสร้างอุตสาหกรรมอาวุธภายในประเทศมีความคืบหน้าช้ามาก จึงทำให้อินเดียยังคงเป็นผู้นำเข้าอาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก
กระนั้น ต้นสัปดาห์นี้อินเดียเพิ่งนำเรือบรรทุกเครื่องบินที่สร้างขึ้นเองในประเทศ ปล่อยลงน้ำโดยที่มีกำหนดใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ในปี 2017 นอกจากนี้ กองทัพเรือแดนภารตะยังประกาศว่า เริ่มใช้งานเตาปฏิกรณ์ที่ติดตั้งบนเรือดำน้ำนิวเคลียร์ลำแรกซึ่งอินเดียพัฒนาขึ้นเองเช่นเดียวกัน โดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนเพิ่มแสนยานุภาพกองทัพเรือเพื่อรับมือการขยายอิทธิพลของจีนในมหาสมุทรอินเดีย