ตำรวจมาเลย์เตือนม็อบประท้วงเลือกตั้งของ “อันวาร์” ผิดกฎหมายห้ามชุมนุม

เอเอฟพี - ตำรวจมาเลเซียประกาศให้แผนนัดชุมนุมใหญ่ของผู้นำฝ่ายค้าน อันวาร์ อิบรอฮีม ซึ่งกล่าวหาว่าพรรครัฐบาล บาริซัน เนชันแนล หรือ บีเอ็น “ขโมย” ชัยชนะในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมาย

“ผู้จัดการประท้วงควรคำนึงถึงกฎหมายว่าด้วยการชุมนุมโดยสันติ ปี 2012 การเดินขบวนโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อปลุกเร้าอารมณ์โกรธแค้น ถือว่าผิดกฎหมายข้อนี้” สำนักข่าวเบอร์นามา อ้างถ้อยแถลงของ อิสมาแอล โอมาร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ซึ่งเตือนว่า ผู้เข้าร่วมชุมนุมทุกคนอาจถูกจับกุม

คำเตือนของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติดูจะเป็นสัญญาณเตือนถึงการเผชิญหน้าระหว่างตำรวจกับกลุ่มฝ่ายค้าน หากว่าการชุมนุมประท้วงเกิดขึ้นจริงในเวลา 20.00 น. คืนนี้ (19.00 น. ตามเวลาในไทย)

ล่าสุด บรรดาผู้นำฝ่ายค้านยังไม่มีถ้อยแถลงตอบโต้ใดๆ

เมื่อวานนี้(7) อันวาร์ เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียออกมารวมพลังต่อสู้อย่าง “แข็งกร้าว” เพื่อปฏิรูปการเลือกตั้งให้บริสุทธ์โปร่งใส โดยระบุด้วยว่า ฝ่ายค้านจะนำหลักฐานการทุจริตเลือกตั้งของรัฐบาลนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัก มาเปิดเผยให้สาธารณชนทราบเร็วๆนี้

กฎหมายว่าด้วยการชุมนุมโดยสันติที่ โอมาร์ อ้างถึง ถูกนักสิทธิมนุษยชนวิจารณ์อย่างหนักว่าเป็นเครื่องมือที่รัฐบาลมาเลเซียใช้จำกัดสิทธิพลเมือง และมีผลทำให้การเดินขบวนประท้วงบนถนนกลายเป็นสิ่งผิดกฎหมายโดยสิ้นเชิง ขณะที่การชุมนุมอย่างสันติยังสามารถกระทำได้ โดยต้องแจ้งให้รัฐทราบล่วงหน้าอย่างน้อย 10 วัน ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจมาเลเซียยืนยันว่า ยังไม่ได้รับการขออนุญาตจากแกนนำฝ่ายค้านที่จะจัดการประท้วงคืนนี้

“โปรดเคารพกฎหมายบ้านเมือง และขออนุญาตจากผู้กำกับการตำรวจประจำเขตให้ถูกต้องเสีย” โอมาร์ กล่าว

หลายฝ่ายเชื่อว่า ศึกเลือกตั้งเมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมาเป็นโอกาสดีที่สุดที่ฝ่ายค้านจะชิงอำนาจมาจากกลุ่ม บีเอ็น ซึ่งผูกขาดการบริหารประเทศตั้งแต่มาเลเซียได้รับเอกราชจากอังกฤษในปี 1957 แต่ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็นที่น่าผิดหวัง เพราะ ปากาตัน รักยัต ซึ่งประกอบด้วยพรรคฝ่ายค้าน 3 พรรค ได้ที่นั่งในสภาเพิ่มขึ้นจากการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่แล้วในปี 2008 เพียง 7 ที่นั่ง

นาจิบ วัย 59 ปี เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อสมเด็จพระราชาธิบดีแห่งมาเลเซีย เมื่อวันจันทร์ (6) เพื่อเข้ารับตำแหน่งบริหารประเทศเป็นสมัยที่ 2 ภายหลังพรรคการเมืองฝ่ายรัฐบาลของเขายังสามารถรักษาเสียงข้างมากเอาไว้ได้ ด้วยจำนวนที่นั่งในรัฐสภา 133 ที่นั่ง จากทั้งหมด 222 ที่นั่ง แม้จะได้คะแนนเลือกตั้งรวมทั่วประเทศเพียง 48 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น