เอเอฟพี – ผลประกอบการจากค่ายรถยนต์สหรัฐฯยังคงแรงอย่างต่อเนื่องในช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา โดยคำแถลงที่มีการเผยแพร่ในวันพุธ(1) ระบุว่าทั้งค่ายเจนเนอรัล มอเตอร์ส (จีเอ็ม) ฟอร์ด และไครสเลอร์ ต่างมีผลประกอบการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลัก ในขณะที่ค่ายคู่แข่งจากอย่างโตโยต้าจากญี่ปุ่น ขาดทุนเล็กน้อย
เป็นที่ทราบกันดีว่าภาวะเศรษฐกิจถดถอยจากผลพวงของวิกฤตทางการเงินในปี 2008 ส่งผลให้ผู้บริโภคชาวอเมริกันเลือกที่จะใช้งานรถยนต์คันเก่าของพวกเขานานกว่าปกติ แต่บรรดารถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุดและอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเตี้ยติดดินในเวลานี้ กลายเป็นแรงจูงใจสำคัญให้บรรดาลูกค้าในสหรัฐฯหันเปลี่ยนรถยนต์กันมากขึ้นซึ่งกลายเป็นผลดีต่อตลาดรถยนต์เมืองลุงแซม
ยอดขายรวมของตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯเพิ่ม 8.5 เปอร์เซ็นต์ในเดือนเมษายน และปรับตัวเพิ่มขึ้น 6.9 เปอร์เซ็นต์ในรอบ 4เดือนแรกของปีนี้ จากข้อมูลของ “ออโตดาต้า” ซึ่งค่ายผู้ผลิตรถยนต์และนักวิเคราะห์ต่างลงความเห็นว่าปัจจัยต่างๆทางด้านเศรษฐกิจของสหรัฐฯในขณะนี้จะยังคงส่งผลในแง่บวก ต่อการเติบโตของยอดขายรถยนต์ในสหรัฐฯหลังจาก นี้
ข้อมูลระบุว่า ค่ายรถฟอร์ด ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่อันดับ 2 ของสหรัฐฯสามารถทำผลประกอบการที่เหนือการคาดหมายได้ จากยอดขายที่มีการเติบโต 18 เปอร์เซ็นต์ หรือ 212,584 คัน ถือเป็นยอดขายประจำเดือนเมษายนที่ดีที่สุดของฟอร์ดนับตั้งแต่ปี 2007 เป็นต้นมา ส่วนค่ายไครสเลอร์ซึ่งครองอันดับ 3 ของตลาดรถยนต์ในสหรัฐฯ ได้แจ้งผลประกอบการประจำเดือนเมษายนที่ดีที่สุดในรอบ 6 ปี จากยอดขายที่เพิ่ม 11 เปอร์เซ็นต์หรือ 156,698 คัน ถือเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นของยอดขายของไครสเลอร์ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 37
ในขณะที่ จีเอ็มทำผลประกอบการดีที่สุดประจำเดือนเมษายนในรอบ 5 ปี หลังจากยอดขายเพิ่มขึ้น 11 เปอร์เซ็นต์ หรือ 237,646 คัน
ทั้งนี้ ค่ายรถยนต์สัญชาติอเมริกันทั้ง จีเอ็ม ฟอร์ด และไครสเลอร์ ครองส่วนแบ่งทางการตลาดรวมกัน 65 เปอร์เซ็นต์ในตลาดยานยนต์อเมริกา
ในทางกลับกัน ค่ายรถคู่แข่งจากญี่ปุ่นอย่างโตโยต้ามียอดขายตกลง 1.1 เปอร์เซ็นต์เหลือ 176,160 คัน ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่ทางโตโยต้าคาดว่าผลประกอบการจะดีขึ้นในภายหลัง จากรถรุ่นใหม่ๆที่ออกจำหน่าย
ขณะที่ค่ายฮอนด้าประกาศยอดจำหน่ายที่ปรับตัวเพิ่ม 7.4 เปอร์เซ็นต์ เป็น 130,999 คัน และค่ายนิสสันซึ่งเพิ่งประกาศลดราคาครั้งใหญ่เพื่อกระตุ้นยอดขาย ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงามในเดือนเมษายนที่ผ่านมาจากการเติบโตถึง 23 เปอร์เซ็นต์ หรือ 87,847 คัน