xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องราวของ‘มิสคิม’ผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ (ตอนแรก)

เผยแพร่:   โดย: อันเดร ลันคอฟ

(เก็บความจากเอเชียไทมส์ออนไลน์ www.atimes.com)

The world of Miss Kim
By Andrei Lankov
07/02/2013

ไม่ใช่ว่าผู้อพยพลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือทุกๆ คนจะต้องต่อสู้ด้วยความยากลำบากกับวิถีชีวิตความเป็นอยู่ที่ใหม่เอี่ยมไม่คุ้นเคย เมื่อสามารถดิ้นรนจนผ่านพ้นออกมาพำนักอาศัยในเกาหลีใต้ได้สำเร็จแล้ว เรื่องราวของ “มิสคิม” ผู้ซึ่งเวลานี้ใช้ชีวิตอยู่อยู่สุขสบายในกรุงโซล ภายหลังหลบหนีออกมาจากดินแดนโสมแดงได้อย่างราบรื่นในช่วงทศวรรษ 2000 ด้วยการ“จัดให้”ของพ่อแม่ของเธอเอง คือตัวอย่างที่พิสูจน์ให้เห็นว่าพวกซึ่งความฉลาดหลักแหลมมากพอที่จะทำมาหากินในตลาดมืดตลอดจนในระบบเส้นสายทางการเมืองของโสมแดงได้ ย่อมสามารถที่จะรุ่งเรืองก้าวหน้าในโลกสมัยใหม่ได้เช่นกัน

*ข้อเขียนชิ้นนี้แบ่งเป็น 2 ตอน นี่คือตอนแรก *

ผมใคร่ขอแนะนำให้ท่านทั้งหลายได้พบกับคนที่ผมรู้จักผู้หนึ่ง เธอคือ มิสคิม (Miss Kim) นี่เป็นนามสมมุติของเธอนะครับ เธออาจจะแซ่คิมจริงๆ หรือไม่ใช่เลยก็ได้ทั้งนั้น เวลานี้เธอกำลังพำนักอาศัยอย่างสุขสบายทีเดียวในกรุงโซล และกำลังใกล้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงแห่งหนึ่งของนครหลวงแห่งนี้แล้ว ทว่าแท้จริงแล้วเธอเกิดในเกาหลีเหนือครับ และเพิ่งอพยพลี้ภัยมาอยู่ในเกาหลีใต้เพียงเมื่อ 4 ปีก่อนนี้เอง

เรื่องราวของมิสคิม เป็นเรื่องราวของผู้คนในกลุ่มซึ่งโชคดีกว่าคนอื่นๆ ในสังคมผู้อพยพลี้ภัยจากเกาหลีเหนือ ถึงแม้เรื่องราวเช่นนี้ออกจะขาดสีสันอันชวนตื่นตาตื่นใจ และปกติแล้วมักไม่ค่อยสามารถเรียกร้องความสนอกสนใจจากนักข่าวนักหนังสือพิมพ์ได้ แต่มันก็สะท้อนภาพของสังคมโสมแดงและความเป็นจริงของสังคมผู้ลี้ภัยได้ไม่น้อยทีเดียว มิสคิม และครอบครัวของเธอเมื่อตอนที่ยังอยู่ในเกาหลีเหนือนั้น ถือได้ว่าเป็นครอบครัวที่ประสบความสำเร็จ และการปรับตัวของพวกเขาเพื่อให้เข้ากับสังคมของเกาหลีใต้ก็ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

มิสคิมนั้นถือกำเนิดขึ้นมาในช่วงต้นทศวรรษ 1980 จึงจัดเป็นชาวเกาหลีเหนือในคนรุ่นอายุซึ่งเรียกขานกันว่ารุ่นหลังสังคมนิยมรุ่นแรก (first post-socialist generation) เมื่อตอนที่เธอเติบโตเข้าสู่ช่วงวัยรุ่นต้นๆ ระบบจัดสรรอาหารภาครัฐ (Public Distribution System)[1] ซึ่งเคยเป็นกลไกหลักในการจัดหาอาหารให้แก่ชาวเกาหลีเหนือธรรมดาสามัญมายาวนาน ได้ยุติการดำเนินงาน เป็นเวลาหลายสิบปีทีเดียวที่ชาวเกาหลีเหนือมีชีวิตอยู่ได้ด้วยการพึ่งพาอาศัยอาหารปันส่วนที่ได้รับการอุดหนุนช่วยเหลือจากภาครัฐอย่างมากมาย (เรียกได้ว่าแทบจะได้รับกันฟรีๆ ทีเดียว) อาหารปันส่วนเหล่านี้มาถึงมือพวกเขาผ่านทางหน่วยงานระบบราชการที่แบ่งย่อยไปตั้งประจำอยู่ตามที่ทำการและท้องที่ต่างๆ อย่างไรก็ดี พอมาถึงช่วงกลางทศวรรษ 1990 ภาคเกษตรกรรมที่รัฐเป็นผู้ดำเนินการของเกาหลีเหนืออยู่ในสภาพล้มตายหงายท้อง จึงไม่มีการจ่ายอาหารปันส่วนกันอีกต่อไป และชีวิตแบบสังคมนิยมอย่างเก่าที่ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่มีความแน่นอนก็หายวับไปแทบจะภายในเวลาชั่วข้ามคืน

สำหรับชาวเกาหลีเหนือจำนวนมากแล้ว การล้มครืนของระบบจัดสรรปันส่วนอาหารเช่นนี้มีความหมายไม่ต่างอะไรกับคำพิพากษาลงโทษประหารชีวิต ประมาณกันว่ามีผู้คนในดินแดนโสมแดงมากกว่าครึ่งล้านคนต้องล้มตายไปจริงๆ ในช่วงอดอยากขาดแคลนระหว่างปี 1996-1999 ซึ่งเกิดตามมาหลังการล่มสลายของระบบดังกล่าว อย่างไรก็ตาม สำหรับครอบครัวของมิสคิมแล้ว กลับสามารถผ่านช่วงเวลาตอนนั้นไปได้อย่างราบรื่นมาก พวกเขาพำนักอาศัยอยู่ในเมืองเอกของจังหวัดขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง บิดาของเธอเป็นอาจารย์อยู่ในวิทยาลัยท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ขณะที่ตอนแรกๆ มารดาของเธอเป็นแม่บ้านเต็มตัว ซึ่งก็คล้ายๆ กับผู้หญิงชาวโสมแดงที่แต่งงานแล้วจำนวนมากในรุ่นอายุเดียวกันกับเธอ

ทว่าช่วงเวลาที่เกิดความลำบากยากเข็ญกันมากนั้น มารดาของมิสคิมสามารถหางานทำในตำแหน่งผู้จัดการคนหนึ่งในสถานเก็บอาหารแห่งหนึ่ง เรื่องนี้เส้นสายความสัมพันธ์ของครอบครัวของเธอมีส่วนช่วยเหลืออย่างมากมายทีเดียว จากนั้นมาเธอก็ประพฤติปฏิบัติตนเหมือนๆ กับเจ้าหน้าที่ตำแหน่งเล็กๆ (และกระทั่งตำแหน่งใหญ่ๆ) ส่วนใหญ่ที่สุด นั่นคือ เธอช่วยให้ตัวเองสามารถเข้าถึงเงินทุนต่างๆ ของรัฐบาล และครอบครัวของเธอก็ไม่เคยต้องอดอยากถึงขนาดไม่มีอะไรจะกิน เธอกระทั่งสามารถดำเนินการจนรวบรวมเงินทุนมาได้จำนวนหนึ่ง ซึ่งเธอนำไปลงทุนทำการค้าขนาดเล็กๆ ย่อมๆ หลายๆ อย่าง

ปรากฏว่ามารดาของมิสคิมประสบความสำเร็จอย่างมากในการค้าขายในตลาด และพอถึงต้นทศวรรษ 2000 เธอก็ตัดสินใจที่จะเสี่ยงโชคครั้งใหญ่ด้วยความหวังที่จะประสบความสำเร็จอย่างชนิดเป็นกอบเป็นกำ เธอใช้จ่ายเงินทองประมาณ 1,000 ดอลลาร์ (ถือเป็นเงินก้อนมหึมาทีเดียวในเวลานั้น) เพื่อติดสินบนนายตำรวจท้องถิ่นคนหนึ่ง จนกระทั่งได้รับใบอนุญาตให้เดินทางไปประเทศจีนเพื่อเยี่ยมญาติ (ในทางเป็นจริงแล้วเธอไม่ได้เคยมีญาติในประเทศจีนเลยแม้แต่คนเดียว)

มารดาของมิสคิมยังนำเอาเงินทองทั้งหมดที่รวบรวมมาได้ ซื้อพวกเสื้อผ้าและเครื่องสำอางต่างๆ หลังจากเข้าไปในประเทศจีนแล้ว ตลอดจนใช้ไปในการติดสินบนพวกเจ้าหน้าที่ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งหมด เพื่อให้แน่ใจว่าสินค้าจากแดนมังกรจำนวนมากมายของเธอจะสามารถเดินทางกลับไปถึงเมืองที่เธอพำนักอาศัยอยู่ได้อย่างปลอดภัย เธอโชคดีมากที่การเสี่ยงของเธอประสบความสำเร็จ สิ่งต่างๆ ปรากฏผลออกมาดังที่มุ่งหวังไว้

หลังจากนั้นเธอก็เริ่มเดินทางไปจีนเป็นประจำ ราวๆ ปีละครั้ง ถึงตอนนั้นมารดาของมิสคิมเพิ่มความระมัดระวังไม่นำเอาทุกสิ่งทุกอย่างที่เธอมีไปกองรวมกันอยู่ในที่เดียวอีกแล้ว และตัดสินใจว่าจ้างเพื่อนที่ไว้วางใจได้คนหนึ่งให้เป็นผู้บริหารธุรกิจขนาดเล็กแห่งหนึ่ง (ธุรกิจที่ว่านี้คือร้านค้า ซึ่งจดทะเบียนอำพรางว่าเป็นทรัพย์สินของรัฐ) ทำให้ครอบครัวมีรายได้เพิ่มขึ้นมาจำนวนหนึ่งและมีหลักประกันความมั่นคงมากขึ้นด้วยถ้าหากต้องเผชิญกับความยุ่งยากลำบากที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต

เรื่องที่เล่ามานี้อาจจะฟังดูเหมือนอะไรที่ได้ยินมาจากทางประเทศซิมบับเว ในทวีปแอฟริกา หรือจากประเทศ เอลซัลวาดอร์ ในอเมริกากลาง แต่เรื่องราวทำนองนี้แหละคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติธรรมดาในทุกวันนี้ในเกาหลีเหนือ ประเทศซึ่งประชากรส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกของระบอบทุนนิยมขนาดย่อมๆ ในทางเป็นจริงมาเป็นเวลาเกือบๆ 2 ทศวรรษแล้ว

ในเวลาเดียวกัน มันก็ถึงเวลาสำหรับมิสคิมที่จะต้องขบคิดเกี่ยวกับอนาคตของตัวเธอเอง บิดาของเธอต้องการให้เธอได้รับการศึกษาอบรมในทางด้านเทคนิคบางอย่างบางประการ เขาอธิบายให้เธอฟังอย่างเปิดเผยว่า การเรียนรู้ทักษะความชำนาญทางด้านเทคนิคจะเป็นการลงทุนที่ดีมากสำหรับอนาคตที่ไม่มีความแน่นอน เขาบอกกับบุตรสาวของเขาผู้นี้ว่า “ไม่ช้าก็เร็ว ระบบของเราก็อาจจะล้มครืนลงไป ถ้าหากเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นมาเมื่อใด พวกเจ้าหน้าที่พรรคและนักโฆษณาชวนเชื่อทั้งหลายเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนที่ไม่มีค่าไม่มีราคาอะไรเลย ทว่าสำหรับวิศวกรสำหรับช่างเทคนิคมีฝีมือแล้ว ไม่ว่าเวลาไหนก็จะประสบความสำเร็จได้เสมอ”

คำพูดเช่นนี้ถือเป็นการแสดงความเห็นทางการเมืองอย่างเปิดอกตรงไปตรงมาชนิดหาได้ยากยิ่งในแดนโสมแดง การที่บิดามารดาของมิสคิมเป็นชาวเกาหลีเหนือ โดยปกติแล้วพวกเขาต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลา ส่วนใหญ่พวกเขาจะต้องปกปิดเก็บงำทัศนะทางการเมืองของตัวเองตลอดจนความคิดเห็นเกี่ยวกับอนาคตของประเทศชาติเอาไว้อย่างเป็นความลับอย่างเข้มงวด โดยไม่มีการแพร่งพรายต่อภายนอก

ด้วยทัศนคติของบิดาดังที่กล่าวมาข้างต้น มิสคิมจึงได้รับการศึกษาอบรมทางด้านเทคนิคพื้นฐานบางอย่างบางประการ และได้ไปทำงานในโรงงานเอกชนแห่งหนึ่งอยู่ระยะหนึ่ง (เนื่องจากเหตุผลที่ย่อมมองเห็นกันได้อย่างชัดเจนอยู่แล้ว ผมจึงไม่สามารถที่จะระบุออกมาให้เฉพาะเจาะจงเกินไปนัก เกี่ยวกับทักษะความชำนาญทางเทคนิคของมิสคิม ทั้งนี้อาชีพของเธอนั้นค่อนข้างโดดเด่นเฉพาะทางเป็นอย่างมากทีเดียว) เงินทองค่าตอบแทนจากงานในโรงงานเอกชนนี้จัดว่างดงามพอดู ทว่ามารดาของเธอบอกกบเธอว่าไม่ต้องห่วงใยอะไรนักในเรื่องเงินรายได้

มารดาของเธอในตอนนั้นหาเงินทองมาได้จำนวนมากมายอยู่แล้ว จนกระทั่งเงินเดือนประมาณเดือนละ 200 ถึง 300 ดอลลาร์ของมิสคิม แม้จะถือว่าสูงลิ่วในมาตรฐานของชาวเกาหลีเหนือ แต่ก็แทบไม่ได้สร้างความแตกต่างอะไรนักหนาให้แก่รายได้ของครอบครัวของเธอเลย

ดร.อันเดร ลันคอฟ เป็นอาจารย์อยู่ที่คณะเอเชียศึกษา, ศูนย์จีนและเกาหลี ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย ( Faculty of Asian Studies, China and Korea Center, Australian National University) เขาสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐเลนินกราด(Leningrad State University) โดยได้รับปริญญาเอกทางด้านประวัติศาสตร์ตะวันออกไกลและจีน (PhD in Far Eastern history and China) เน้นหนักเรื่องเกาหลี วิทยานิพนธ์ของเขาโฟกัสที่เรื่องการแตกแยกเป็นฝักฝ่ายต่างๆ ในสมัยราชวงศ์อี (Yi Dynasty) เขามีผลงานที่ได้รับการตีพิมพ์เผยแพร่เป็นหนังสือและบทความว่าด้วยเกาหลีและเอเชียเหนือจำนวนหนึ่ง
(อ่านต่อตอน2 ซึ่งเป็นตอนจบ)
กำลังโหลดความคิดเห็น