xs
xsm
sm
md
lg

รอง ผช.ทูตทหาร US เปิดใจ “ASTV ผู้จัดการ” ยันสหรัฐฯ ไม่หันหลังให้เอเชียแม้โอบามาหมดวาระ 2016 - ชมกองทัพไทย “เบอร์ 1” อาเซียน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTV ผู้จัดการออนไลน์ - รองผู้ช่วยทูตทหารสหรัฐฯ ประจำประเทศไทยเผยรัฐบาลบารัค โอบามา มองไทยเป็น “หัวใจ” ที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อการดำเนินยุทธศาสตร์ใหม่ของสหรัฐฯที่มุ่งเน้นสร้างสัมพันธ์เอเชียแปซิฟิก พร้อมแสดงความมั่นใจสหรัฐฯ จะไม่หันหลังให้ภูมิภาคนี้ ถึงแม้โอบามาจะพ้นตำแหน่งในปี 2016 ระบุประธานาธิบดีคนต่อไปต้อง “สานต่อ”

พ.ท.แอนเดอร์สัน เซล รองผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบก ประจำสำนักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยกับทีมข่าวต่างประเทศ ASTV ผู้จัดการ ระหว่างร่วมงานเฉลิมฉลอง 180 ปีความสัมพันธ์ไทย-สหรัฐฯ ณ บ้านพักเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย เมื่อคืนวันพุธ (16) โดยระบุว่า รัฐบาลสหรัฐฯ ชุดปัจจุบันภายใต้การนำของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ตระหนักดีถึงความสำคัญยิ่งของประเทศไทย ในฐานะชาติมหามิตรเก่าแก่ของสหรัฐฯ ที่มีความสัมพันธ์อันดีต่อกันมายาวนาน พร้อมระบุขณะนี้รัฐบาลสหรัฐฯ จัดให้ไทยเป็นประเทศที่เป็น “หัวใจสำคัญ” ต่อการดำเนิน “ยุทธศาสตร์ใหม่” ของสหรัฐฯ ที่มุ่งเน้นให้ความสำคัญกับภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

พ.ท.เซลเปิดใจกับผู้สื่อข่าว ASTV ผู้จัดการ โดยระบุว่า การปรับยุทธศาสตร์ใหม่ที่หันมาให้ความสำคัญกับเอเชียแปซิฟิกเป็นลำดับแรกซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่ช่วง “ปลายสมัยแรก” ของประธานาธิบดีโอบามานั้น ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายระยะสั้นๆ และไม่ใช่การสร้าง “จุดขายด้านนโยบายต่างประเทศ” ของสหรัฐฯ ต่อชาติในภูมิภาค เพื่อให้เกิดการจดจำและกล่าวขวัญถึงเพียงชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น

รองผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกสหรัฐฯ ย้ำว่า ยุทธศาสตร์ใหม่ของสหรัฐฯ ที่มีต่อเอเชียแปซิฟิกจะยังคงดำเนินต่อไปไม่ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองใดๆ ขึ้นในสหรัฐฯ หลังจากที่ประธานาธิบดีโอบามาพ้นจากตำแหน่งในปี 2016 โดยผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ไม่ว่าจะมาจากพรรค “เดโมแครต” หรือพรรค “รีพับลิกัน” จะต้องสานต่อการดำเนินยุทธศาสตร์ดังกล่าวต่อไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ และไม่น่าจะมี “การเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายครั้งใหญ่” ของสหรัฐฯ ต่อภูมิภาคนี้อีกภายในระยะเวลา 10 ปีข้างหน้า เนื่องจากขณะนี้ทุกภาคส่วนในสหรัฐฯ ต่างเห็นตรงกันถึงความสำคัญของเอเชียแปซิฟิกที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็น “ศูนย์กลางแห่งอำนาจใหม่” ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก ซึ่งอำนาจทางเศรษฐกิจของเอเชียแปซิฟิกนี้จะส่งผลต่อการเมืองและความมั่นคงของโลกด้วยเช่นกัน ดังนั้น สหรัฐฯ จึงต้องการเพิ่มการเกี่ยวพัน (engagement) กับภูมิภาคนี้ ในฐานะของ “หุ้นส่วน”

ในอีกด้านหนึ่ง รองผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกสหรัฐฯ ยังเปิดเผยกับทีมข่าวต่างประเทศ ASTV ผู้จัดการ โดยระบุว่าสหรัฐฯ ยังคงยกให้กองทัพของไทยมีแสนยานุภาพที่ “น่าเกรงขามที่สุด” เมื่อเทียบกับบรรดาประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อื่นๆ แม้ในระยะหลังหลายประเทศในแถบนี้ เช่น ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์จะหันมาทุ่มงบประมาณมหาศาลซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อปรับปรุงกองทัพของตัวเองขนานใหญ่ก็ตาม แต่ขีดความสามารถในด้านการป้องกันประเทศของทหารไทยยังคงเป็น “เบอร์ 1” ในสายตาของกองทัพสหรัฐฯ มาโดยตลอด

ในส่วนของความเคลื่อนไหวล่าสุด ที่ทางกองทัพเรือของไทยลงนามจัดซื้อระบบขีปนาวุธ “Evolved Sea Sparrow Missile” หรือ “อีเอสเอสเอ็ม” จำนวนอย่างน้อย 9 ชุด เพื่อเข้าประจำการนั้น รองผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารบกสหรัฐฯ ระบุว่าเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากขีปนาวุธดังกล่าวซึ่งถูกผลิตโดยบริษัท “Raytheon” ผู้ผลิตขีปนาวุธนำวิถีรายใหญ่ที่สุดของโลก ถือเป็นอาวุธที่มีประสิทธิภาพสูงที่กองทัพเรือของนานาประเทศทั่วโลกต่างต้องการมีไว้ประจำการ รวมถึง “ประเทศเพื่อนบ้าน” ของไทยหลายประเทศ แต่ไทยถือเป็นประเทศเดียวเท่านั้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีเทคโนโลยีอีเอสเอสเอ็มไว้ใช้งาน และเป็นเพียงชาติที่ 2 ในเอเชียที่สหรัฐฯ ไว้วางใจให้ใช้ระบบขีปนาวุธดังกล่าวต่อจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าสหรัฐฯ มองไทยและญี่ปุ่นเป็นพันธมิตรที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง

สหรัฐฯจะไม่หันหลังให้เอเชีย-แปซิฟิกแม้โอบามาหมดวาระในปี 2016
ระบบขีปนาวุธ “Evolved Sea Sparrow Missile” หรือ “อีเอสเอสเอ็ม” ที่กองทัพเรือไทยจัดซื้อเข้าประจำการ
กำลังโหลดความคิดเห็น