บริษัทวิจัยมะกันมาแปลก! อ้าง ศก.กำลังจะดีขึ้น หลังยอดขาย “กางเกงในชาย” เมืองลุงแซมพุ่งสูง

เอเจนซีส์/ASTV ผู้จัดการออนไลน์- “เอ็นพีดี กรุ๊ป อิงก์” บริษัทวิจัยด้านการตลาดชื่อดัง ซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองพอร์ท วอชิงตันในมลรัฐนิวยอร์กของสหรัฐฯ สร้างความฮือฮาครั้งใหญ่เมื่อวันอังคาร (9) ด้วยการออกมาเปิดเผยว่าเศรษฐกิจอับซบเซาของสหรัฐฯ กำลังจะฟื้นตัวในไม่ช้า โดยอ้างอิงจากยอดขาย “กางเกงชั้นใน” ของคุณสุภาพบุรุษเมืองลุงแซมที่ปรับตัวสูงขึ้น

ผลสำรวจล่าสุดของเอ็นพีดีพบว่า จำนวนเม็ดเงินที่สะพัดจากยอดขาย “กางเกงชั้นในชาย” ในสหรัฐฯ ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา (ระหว่างเดือนสิงหาคมปี 2011-สิงหาคม 2012) เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 2,194 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 67,400 ล้านบาท) ถือเป็นสัดส่วนที่เติบโตขึ้นจากช่วงเดียวกันของปี 2010-2011 ถึง 6 เปอร์เซ็นต์ เป็นสัญญาณที่บ่งชี้ว่าเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ซบเซาต่อเนื่องมานาน นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินใน “วอลล์ สตรีท” เมื่อช่วงปี 2008 กำลังจะกลับเข้าสู่ช่วงขาขึ้นอีกครั้ง

ขณะเดียวกัน ผลสำรวจของเอ็นพีดี ซึ่งอ้างข้อมูลจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับการซื้อขายหลักทรัพย์ของสหรัฐฯ (เอสอีซี)ยังพบว่ารายได้ของบริษัทผู้ผลิตกางเกงชั้นในชาย อย่าง “เฮนส์แบรนด์ส อิงก์” ซึ่งมีฐานอยู่ที่มลรัฐนอร์ธแคโรไลนาได้เพิ่มสูงขึ้น 3 ปีติดต่อกันแล้ว จาก 1,830 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 56,220 ล้านบาท) ในปี 2009 เป็น 2,060 ล้านดอลลาร์ (ราว 63,281 ล้านบาท) ในปีที่แล้ว เช่นเดียวกับบริษัทผู้ผลิตชั้นในชายอีกหลายราย

นักวิเคราะห์ชี้ว่าผลสำรวจของบริษัทวิจัยเอ็นพีดีสอดคล้องกับทฤษฎีอันโด่งดังของอลัน กรีนสแปน อดีตผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ที่ดำรงตำแหน่งอันทรงอิทธิพลดังกล่าวระหว่างปี 1987-2006 ที่เคยออกมาเปิดเผยในหนังสือ “The Age Of Turbulence” ว่า หนึ่งในดัชนีชี้วัดการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่มีความเที่ยงตรงแม่นยำมากที่สุด คือ ยอดขายชุดชั้นในชาย

โดยกรีนสแปนยืนยันว่า มีหลักฐานมากมายที่บ่งชี้ว่าผู้ชายชาวอเมริกันจะซื้อกางเกงในน้อยลงในยามที่เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำซบเซา หรือเกิดความไม่แน่นอนในตลาดแรงงาน สวนทางกับในยามที่เศรษฐกิจของประเทศอยู่ในช่วง “ขาขึ้น” หรือช่วง “ใกล้ขาขึ้น” ที่ยอดขายกางเกงในชายของสหรัฐฯ จะมีการเติบโตสูงขึ้น